
โดยย้ำว่าการดักฟังเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลขั้นร้ายแรง พร้อมอธิบายว่าทั้งระบบ iOS และ Android ไม่อนุญาตให้แอปฯ เข้าถึงไมโครโฟนโดยไม่มีการแจ้งเตือนผู้ใช้
แล้วทำไมเวลาเราสนใจอะไร สิ่งนั้นกลับขึ้นหน้าฟีดเหมือนได้ยิน
Mosseri ให้เหตุผลว่า สิ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าถูกฟัง จริงๆ มาจากระบบ AI และ อัลกอริทึมที่เรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น สิ่งที่เรากด like โพสต์ที่เราหยุดดูนาน บัญชีที่เราติดตาม หรือแม้แต่ช่วงเวลาที่เราใช้บนแพลตฟอร์ม
ข้อมูลเล็ก ๆ พวกนี้เรียกว่า “first-party data” หรือพูดง่ายๆ คือเป็นข้อมูลที่เราให้แพลตฟอร์มด้วยตัวเอง ข้อมูลเหล่านี้จึงถูกนำไปวิเคราะห์จนสามารถคาดเดาความสนใจได้แม่นยำ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่า “ถูกต้องตามกฎหมาย” เพราะเกิดขึ้นในพื้นที่ของบริษัทนั้นเอง
ประเด็นนี้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น เมื่อบริษัทแม่อย่าง Meta กลับประกาศในเวลาไล่เลี่ยกันว่า ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 68 จะเริ่มนำ “ข้อมูลจากการสนทนาระหว่างผู้ใช้กับ AI” เช่น Meta AI หรือ Messenger AI มาใช้เพื่อปรับโฆษณาและการแนะนำคอนเทนต์ให้ตรงกลุ่มมากขึ้น
แม้ Meta ยืนยันว่าจะไม่ใช้ข้อมูลอ่อนไหวอย่างศาสนา สุขภาพ หรือความเชื่อ แต่นั่นก็หมายความว่า “ข้อความที่เราคุยกับ AI ซึ่งแต่เดิมเราอาจมองว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว จะกลายเป็น first-party data ชุดใหม่ ที่ถูกนำไปใช้ในระบบโฆษณาได้
และนี่คือจุดที่ทำให้ประเด็นนี้ซับซ้อนกว่าการดักฟังเสียงเสียอีก เพราะมันไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่เกิดขึ้นภายใต้คำว่า “ยินยอม” ที่ซ่อนอยู่ในนโยบายความเป็นส่วนตัว และหลายคนอาจกดโดยไม่ทันอ่านรายละเอียด
ซึ่ง Meta ระบุว่าก่อนเปิดใช้ฟีเจอร์ ผู้ใช้จะเห็นข้อความแจ้งให้ “กดยินยอม” เพื่อให้บริษัทนำข้อมูลจากการสนทนากับ AI ไปใช้ปรับโฆษณาและคอนเทนต์ให้ตรงความสนใจได้ ผู้ใช้สามารถเลือก “ตกลง” เพื่อใช้งานต่อ หรือ “จัดการการตั้งค่า” เพื่อปฏิเสธบางส่วนได้ แต่ถ้าเราไม่กดยินยอม ระบบบางฟีเจอร์จะทำงานได้ไม่เต็มที่ เช่น Meta AI จะตอบได้แบบทั่วไปเท่านั้น หรือระบบแนะนำโพสต์อาจไม่ตรงใจ เรียกง่ายๆ คือ ใช้ได้เหมือนเดิม แต่จะได้เวอร์ชันที่ฉลาดน้อยกว่า
ในมุมธุรกิจ นี่คือยุคใหม่ของการแข่งขัน เมื่อเบราว์เซอร์และมือถือเริ่มปิดกั้นการติดตามผ่าน “third-party cookies” อย่างที่ Apple บังคับให้แอปฯ ขออนุญาตก่อนติดตามผู้ใช้ บริษัทเทคฯ จึงหันมาใช้ข้อมูลที่เก็บเองในระบบ หรือ “first-party data” เพื่อสร้างโฆษณาที่แม่นยำและถูกกฎหมายมากขึ้น
ซึ่งไม่ใช่แค่ Meta เท่านั้น Google เองก็เริ่มใช้ระบบ Privacy Sandbox ที่วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ภายในเบราว์เซอร์ของตัวเอง เพื่อให้โฆษณายังตรงกลุ่มโดยไม่ต้องส่งข้อมูลออกนอกแพลตฟอร์ม
อย่าง TikTok ก็พัฒนาเครื่องมือโฆษณา “TikTok Pulse” ที่ใช้พฤติกรรมของผู้ใช้ภายในแอป เช่น การดูคลิป การกดไลก์ หรือการมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ เพื่อให้โฆษณาตรงกลุ่มยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งคุกกี้หรือข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น
สะท้อนว่า “ความเป็นส่วนตัว” กำลังถูกตีความใหม่ จากสิ่งที่เราปกป้อง กลายเป็นสิ่งที่เรายอมแลก เพื่อใช้งานแพลตฟอร์มได้อย่างเต็มที่อย่างเลี่ยงไม่ได้
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

