
‘ลองจินตนาการว่าถ้าในอนาคตคลาวด์ทั้งหมดถูกตั้งอยู่บนอวกาศจะเป็นยังไง’
แนวคิดสุดว้าวอย่าง “Data Center นอกโลก” เริ่มถูกพูดถึงในหลายสื่อ ซึ่งบทสัมภาษณ์ของ แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI ก็เคยให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ This Past Weekend - #599 - Sam Altman ในช่วงหนึ่งว่า ‘โลกส่วนใหญ่คงเต็มไปด้วยศูนย์ข้อมูลเมื่อเวลาผ่านไป บางทีเราอาจจะสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศ’ ชี้ให้เห็นว่าบิ๊กเทคกำลังศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังจากความพยายามในการหาพื้นที่ใหม่ ๆ
เพราะในอวกาศมีความเย็น ก็น่าจะช่วยระบายความร้อนได้ดี และดูจะตอบโจทย์ในยุคที่เทคโนโลยีโตเร็วจนส่งผลให้ปัจจัยด้านพลังงาน และการทำงานของศูนย์ข้อมูลนั้นเพิ่มทวีคูณ
ที่จริงยักษ์ใหญ่อย่าง Google เองก็ได้ประกาศอภิมหาโปรเจกต์อย่าง Suncatcher โดยบอกว่าจะสร้าง Data Center บนอวกาศ พร้อมวางแผนติดตั้ง Data Center สำหรับ AI บนอวกาศ ภายในปี 2027 แน่นอนว่าเหตุผลนี้ก็มาจากเรื่องของพลังงานที่เป็นหัวใจสำคัญในการใช้สร้างและพัฒนาโปรดักส์ของตัวเอง
คิดง่าย ๆ ว่า Generative AI อย่าง Gemini จะกินพลังงานเท่าไหร่ต่อการป้อน Prompt แล้วในแต่ละวันมีผู้ใช้งานหลายล้านคนที่ใช้งานระบบนี้ ซึ่งต่อให้มี Data Center เป็นหลักพันแห่ง ก็ไม่เพียงพอที่จะรองรับการเติบโตในอนาคตอยู่ดี จึงเป็นที่มาของโปรเจกต์สุดโต่งอย่างการตั้งศูนย์ข้อมูลนอกโลกนี้ เพื่อให้ Google ได้ขยายขีดความสามารถมากขึ้น
แต่มันก็ดูเป็นความท้าทายที่หืดขึ้นคอเอามาก ๆ เพราะอวกาศก็มีปัจจัยเสี่ยงอยู่หลายด้านที่กระทบต่อความเสถียรของระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูล
อย่างแรก รังสีและอนุภาคพลังงานสูง (Radiation & High-Energy Particles) อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดและส่งผลโดยตรงต่อความถูกต้องของข้อมูล เพราะในอวกาศมีอนุภาคพลังงานสูงจำนวนมากที่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Bitflip" หรือค่าของบิตข้อมูลในหน่วยความจำ (RAM) เปลี่ยนสถานะเองจาก 0 เป็น 1 หรือ 1 เป็น 0 ส่งผลให้ข้อมูลเพี้ยนได้
ผลคือข้อมูลที่เก็บไว้หรือกำลังคำนวณอยู่จะผิดเพี้ยน ซึ่งอาจส่งต่อความผิดพลาดเป็นทอด ๆ ได้ หรือบางช่วงถ้ามีพายุสุริยะรุนแรง ระบบอาจต้องปิดชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสียหายแปลว่าจะทำให้บริการไม่พร้อมใช้งาน ยังไม่นับรวมความผิดพลาดที่ต้องแก้ได้ด้วยการรีเซต ไปจนถึงฮาร์ดแวร์พังถาวร
ต่อมาคือปัญหาเรื่องระยะทางและความหน่วง (Latency & Delay) ระหว่างโลกกับอวกาศเป็นความท้าทายทางกายภาพสำคัญ ที่แม้ระบบประมวลผลจะทำงานได้เร็ว แต่การส่งข้อมูลขึ้นไปและส่งผลลัพธ์กลับลงมา (Uplink/Downlink) อาจเกิดความล่าช้า (Delay) สูงกว่าการรับส่งข้อมูลผ่านสายไฟเบอร์บนพื้นโลก
สิ่งนี้ทำให้ Data Center ในอวกาศอาจไม่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการ “การตอบสนองแบบ Real-time” อย่างเช่น การเข้าเว็บไซต์ทั่วไป หรือ Social Media แต่จะเหมาะกับการประมวลผลงานขนาดใหญ่ที่จบในตัว (Batch Processing)
อย่างที่สามคือ การระบายความร้อนยากกว่าที่คิด หลายคนคิดว่าอวกาศเย็น แต่จริง ๆ ด้านที่โดนแดดจะร้อนจัด และที่สำคัญคือ ไม่มีอากาศช่วยพัดพาความร้อนออกเหมือนบนโลก ต้องใช้ระบบ “แผ่รังสีความร้อน” (radiator) แทน แบบร้อนสลับเย็น ทำให้วัสดุขยายตัวหรือหดตัวได้ ซึ่งกระทบกับอุปกรณ์ที่ละเอียดอ่อนมาก ๆ เช่น ชิปหรือระบบที่ใช้แสงแบบ Optical แค่เปลี่ยนแปลงนิดเดียวก็ทำให้ทำงานไม่เสถียรได้
นอกจากนี้ยังมี ความเสี่ยงทางกายภาพและการซ่อมบำรุง (Physical Damage & Maintenance) จากอุปสรรคจากขยะอวกาศที่เสี่ยงต่อศูนย์ข้อมูลจะถูกชน และข้อจำกัดในการซ่อมแซมที่ไม่มีมนุษย์คอยดูแล (Operate) หากฮาร์ดแวร์เสียหาย ก็จะไม่สามารถเข้าซ่อมแซมได้ง่ายเหมือนบนโลก ซึ่งถ้าแก้ไขได้ล่าช้า ยิ่งกับการดูแลข้อมูลที่มีการใช้บนระบบตลอดเวลา ก็จะกลายเป็นความเสี่ยงได้ทันที
แต่เราต้องกลับมาตั้งคำถามต่อว่าความเป็นจริงแล้วการใช้พื้นที่อวกาศตั้งศูนย์ข้อมูลนั้น ในระยะยาวก็อาจจะเกิดผลเสียมากกว่าได้ประโยชน์หรือไม่ ?
เพราะขนาดการทดลองสร้าง Data Center ใต้น้ำที่ดูจับต้องได้ อย่างโครงการของ Microsoft เอง ก็ยังประกาศปิดตัวลง แม้ไม่ได้มีการให้เหตุผลชัดเจนว่าทำไมโครงการที่มีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จสูงขนาดนี้ต้องพับเก็บไป แต่ก็พอจะเดากันได้ว่าเรื่องของทุนที่ต้องใช้เพื่อดูแลอย่างมหาศาลนั้นคงเป็นอีกปัจจัยให้บอกลาโครงการนี้
ต้องบอกว่า Data Center นอกโลกอาจไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนศูนย์ข้อมูลบนโลกในเร็ว ๆ นี้ แต่มันมีโอกาสเกิดขึ้น ในรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะทางก่อน และเรื่องนี้กำลังกลายเป็นสนามของการแข่งขันเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่างเห็นได้ชัด ที่ต่อให้บนโลกจะมีพลังงานไม่พอ ก็พร้อมจะช่องทางใหม่ ๆ มาอยู่ดี ซึ่งต้องจับตากันต่อว่าบิ๊กเทคเจ้าไหนจะคว้าชัยไปและใครจะได้คุมเกมนี้ในอนาคต
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยี ที่จะพัฒนาและยกระดับประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้ที่ Tech Movement
แท็กที่เกี่ยวข้อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทำไม Google ถึงยอม ให้เปลี่ยนชื่อ Gmail?
การที่ Google เตรียมเปิดให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยน “ชื่อที่อยู่อีเมล Gmail” ได้ ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของบริการอีเมลที่หลายคนใช้งานมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ช่วงวัยเรียนไปจนถึงวัยทำงาน

