
เหตุประท้วงเนปาลส่อแววบานปลายยาว หลังรัฐบาลเนปาลสั่งบล็อก “26 แพลตฟอร์ม” เมื่อ 4 ก.ย. 68 กระแส #NepoKids ซึ่งวิจารณ์อภิสิทธิ์ของชนชั้นการเมืองบนโซเชียลรุนแรงขึ้น และเกิดการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ หรือที่เรียกกันว่า ม็อบ Gen Z ในวันที่ 8 ก.ย.
ก่อนลุกลามเป็นเหตุรุนแรงหลายจุดในช่วงวันที่ 9 ก.ย. ตั้งแต่รัฐสภา และโรงแรมหรูถูกวางเพลิง รัฐบาลจึงยกเลิกคำสั่งบล็อก และนายกฯ โอลีประกาศลาออก แต่สถานการณ์ยังตึงเครียด โดยมียอดผู้เสียชีวิตแตะราว 30 ราย บาดเจ็บกว่า 1,000 ราย
ต้นเหตุเรื่องนี้เกิดจากการถูกแบน 26 แพลตฟอร์มจริงหรือไม่? เทค มูฟเมนท์ จะชวนทุกคนมาวิเคราะห์กันค่ะ
การทำลายล้างทุกอย่างด้วย ‘จราจล อาจทำลายภาพรวมเศรษฐกิจระยะยาว?
ปัญหาหลักที่เกิดขึ้น คือระบบการปกครองที่เป็นปัญหาฝังรากลึก และสร้างความเหลื่อมล้ำมานาน ทับซ้อนกับปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ถ้าดูข้อมูลจากธนาคารโลก ชี้ว่า ชาวเนปาลกว่า 1 ใน 5 ตกอยู่ในความยากจน และมีอัตราการว่างงานวัยคนหนุ่มสาว ช่วงอายุ 15 - 24 ปี ในปีที่ผ่านมา สูงถึงร้อยละ 20.8
และยังระบุว่าเศรษฐกิจของเนปาลต้องพึ่งพาเงินของชาวเนปาลที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศส่งกลับบ้านเป็นอย่างมาก โดยมากกว่า 1 ใน 3 (33.1%) ของ GDP ของเนปาลมาจากเงินโอนส่วนบุคคล ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ข้อมูลจากองค์กรภาคประชาสังคมของเนปาล ยังชี้ว่าคนรวยที่สุดร้อยละ 10 ถือครองทรัพย์สินร้อยละ 57 ของทั้งประเทศ แต่คนจนที่สุดร้อยละ 40 กลับมีทรัพย์สินรวมกันไม่ถึงร้อยละ 10 ของทั้งหมด แต่หากดูในส่วนของรายได้ จะพบว่าคนรวยที่สุดร้อยละ 10 มีรายได้มากกว่าคนจนที่สุดร้อยละ 40 ถึง 3 เท่า ภาพรวมของตัวเลขเหล่านี้เลยชี้ว่าเหตุปัญหาเศรษฐกิจเป็นอีกสิ่งที่กระตุ้นให้ประชาชนออกมาประท้วง
แต่หลายเสียงในโซเชียลก็มีความเห็นสองด้าน ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แม้เรื่องนี้จะเกิดจากความต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมก็ตาม แต่นี่อาจเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเองในระยะยาวได้เช่นกัน
ซึ่งจากเหตุที่บานปลายไปจนถึงการเผา และทำลายสถานที่สำคัญต่าง ๆ อย่าง โรงแรม Hilton โรงแรม Hyatt Regency ,Varnabas Museum และอาคารของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ รวมถึงการปล้นสะดม เผาบ้านเรือนประชาชน และยังมีเหตุนักโทษแหกคุกอีกนับหมื่นคน กลายเป็นม็อบที่ไร้ทิศทางการควบคุมเต็มรูปแบบ
สะท้อนว่า การประท้วงครั้งนี้จะยิ่งซ้ำความยากจนที่เกิดขึ้นให้หนักกว่าที่เป็น เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่หายไป รวมถึงการท่องเที่ยวที่ลดลงจากความกังวลด้านความปลอดภัย และยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าใครจะเข้ามาบริหารประเทศต่อได้ ที่จะสร้างความกังวลให้กับคนที่จะเข้ามาสานต่ออยู่ไม่น้อย
หรือนี่จะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่อาจทำให้เศรษฐกิจของเนปาลหยุดชะงักยาวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหวังว่าเหตุการณ์นี้จะมีทางออกอย่างเท่าเทียมกับทุกคนได้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศยังเดินหน้าต่อไปได้ และประชาชนก็ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมในอนาคต
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

