
ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจทุกขนาด หันมาใช้ข้อมูลมหาศาลและ AI กันมากขึ้นดาต้าเซ็นเตอร์จึงกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย ปี 2569 ถูกมองว่าเป็นปีที่ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ไทยจะคึกคักเป็นพิเศษเพราะหลายธุรกิจเริ่มเก็บข้อมูลมากขึ้นและต้องการใช้ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์
องค์กรไทยจำนวนมาก เลือกที่จะ “เช่า” ดาต้าเซ็นเตอร์แทนการสร้างเอง
การสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เองมีต้นทุนสูงมาก ไหนจะอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า ระบบความปลอดภัย การควบคุมอุณหภูมิ และทีมงานเฉพาะด้านที่ต้องดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้หลายบริษัทมองว่าการใช้ผู้ให้บริการเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่าและได้เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า ผู้ให้บริการจำนวนมากยังเริ่มรวมบริการจัดเก็บข้อมูล + เครื่องมือ AI ไว้ด้วยกัน ทำให้องค์กรใช้งานได้สะดวกขึ้นและเข้าถึงความสามารถใหม่ๆ โดยไม่ต้องลงทุนเองทั้งหมด
ธุรกิจไหนใช้ดาต้าเซ็นเตอร์มากที่สุด?
สถาบันการเงิน : เพราะข้อมูลธุรกรรมมีจำนวนมหาศาล ยิ่งการทำธุรกรรมออนไลน์เติบโตเท่าไร ความต้องการพื้นที่จัดเก็บและระบบที่ปลอดภัยก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
ค้าปลีก - อีคอมเมิร์ซ : ผู้บริโภคไทยยังซื้อของออนไลน์จำนวนมาก ทำให้ข้อมูลลูกค้า คำสั่งซื้อ โลจิสติกส์ และระบบหลังบ้านต่าง ๆ ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บมากขึ้นทุกปี
สุขภาพดิจิทัล : เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ เทเลเมดิซีน แอปสุขภาพ และสังคมผู้สูงอายุทั้งหมดนี้สร้าง “ข้อมูลสุขภาพ” ที่ต้องจัดเก็บ ปกป้องและนำมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาบริการใหม่ ๆ ทั้ง 3 กลุ่มนี้จะช่วยดันให้ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ไทยโตอย่างต่อเนื่อง และเห็นได้ชัดว่าความต้องการกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หรือนี่คือจังหวะทองของผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทย?
AI กำลังกลายเป็นจุดขายสำคัญของผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ เพราะหลายองค์กรไม่ได้มองหาแค่พื้นที่จัดเก็บข้อมูลอีกต่อไป แต่ต้องการแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ด้วย AI เพื่อแปลงข้อมูลให้กลายเป็นคำตอบเชิงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ลูกค้า คาดการณ์ยอดขาย หรือบริหารความเสี่ยง ผู้ให้บริการที่มีโซลูชัน AI จึงยิ่งได้เปรียบ
ขณะเดียวกัน การใช้พลังงานสะอาดกำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการแข่งขันเพราะดาต้าเซ็นเตอร์เป็นธุรกิจที่ใช้ไฟฟ้าสูง การผสานพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์ รวมถึงการลงทุนในระบบประหยัดพลังงาน จะช่วยลดต้นทุนระยะยาวและตอบโจทย์มาตรฐาน ESG ที่องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญ
นอกจากนี้ ไทยยังถือไพ่เหนือกว่าในด้านภูมิศาสตร์ โครงสร้างอินเทอร์เน็ตที่มีเสรียรภาพสูงและการเป็นศูนย์กลางอาเซียน ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่น่าดึงดูดสำหรับการตั้งดาต้าเซ็นเตอร์และการเชื่อมต่อบริการระดับภูมิภาค
แต่โอกาสก็มักมาพร้อมกับความท้าทายเสมอ
ตอนนี้การแข่งขันดาต้าเซ็นเตอร์ในอาเซียนกำลังดุเดือดขึ้นเรื่อยๆเพราะ “สิงคโปร์” และ “มาเลเซีย” ยังคงยืนหนึ่งในฐานะผู้เล่นรายใหญ่ของตลาดอาเซียน
ทั้งสองประเทศมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานและนโยบายรัฐที่เอื้อต่อการลงทุน ทำให้ผู้ให้บริการไทยต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาจุดแข็งของตัวเอง
อีกหนึ่งความท้าทายคือเรื่อง “ขาดแคลนบุคลากรดิจิทัล” ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Center, Cybersecurity, Cloud หรือ AI ซึ่งยังมีไม่เพียงพอ
ต่อความต้องการของตลาด
ซึ่งถ้าหากไทยสามารถพัฒนาคนกลุ่มนี้ได้มากขึ้น ผลลัพธ์ที่ตามมาจะดีต่อประเทศในหลายด้านทั้งเกิดการจ้างงาน การเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ
รวมถึงลดการพึ่งพาเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศในระยะยาว
ขณะเดียวกันเรื่องของ “ต้นทุนพลังงาน” ก็เป็นโจทย์ใหญ่ที่เลี่ยงไม่ได้เพราะดาต้าเซ็นเตอร์ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ใช้ไฟมหาศาลทั้งในส่วนของการประมวลผลและระบบทำความเย็น เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ Boom ก็จริง แต่ก็ Burn ไม่น้อยเหมือนกันถ้ายังพึ่งพาพลังงานแบบเดิมๆ ความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่ม ทั้งต้นทุนที่สูงขึ้นและแรงกดดันเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่จึงเป็นอีกโจทย์ใหญ่ของผู้ให้บริการที่หากใครปรับตัวด้านพลังงานได้เร็วกว่า จะได้เปรียบอย่างชัดเจนและมีโอกาสก้าวขึ้นเป็น “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและเป็นตัวแปรสำคัญของการแข่งขันในอนาคต
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ต่างประเทศ
ต่างประเทศ
ต่างประเทศ