
ช่วงนี้ประเด็นร้อนในสหรัฐฯ เกี่ยวกับการขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B สำหรับแรงงานทักษะสูง โดยถูกพูดถึงว่าอาจพุ่งไปถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเคส จากที่ปกตินายจ้างมักจ่ายอยู่ราวๆ 2,000–5,000 ดอลลาร์
โดยมีรายงานว่า รัฐแคลิฟอร์เนียและอีก 19 รัฐ ได้ยื่นฟ้องเพื่อขอให้ศาลสั่งระงับ ซึ่งให้เหตุผลว่า ประธานาธิบดีไม่มีอำนาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมระดับนี้เพื่อสร้างรายได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อครอบคลุมต้นทุนการบริหารจัดการเป็นหลักเท่านั้น
นอกจากนี้ Reuters ยังระบุว่า มีคดีอื่น ๆ ที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลด้วย เช่น คดีจากหอการค้าสหรัฐฯ (U.S. Chamber of Commerce) และอีกคดีจากแนวร่วมที่มีทั้งสหภาพแรงงาน นายจ้าง และองค์กรศาสนา ที่ยื่นฟ้องทำนองว่าทรัมป์ทำเกินขอบเขตอำนาจเช่นกัน
แล้วทำไมวีซ่า H-1B ถึงกลายเป็นประเด็น ?
H-1B เป็นวีซ่าสำหรับแรงงานต่างชาติ สายวิชาชีพเฉพาะทาง ที่บริษัทในสหรัฐฯ ใช้จ้างคนทักษะสูง เช่น สายไอที วิศวกรรม วิจัย และอื่น ๆ จึงไม่แปลกที่วีซ่าประเภทนี้จะมีการออกมาเรียกร้องทันที เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เพราะมีความสำคัญมากในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
เพราะหลายบริษัทยังต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ จากปัญหาช่องว่างของทักษะตลาดแรงงานในประเทศที่ยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ขณะเดียวกันฝ่ายสนับสนุนนโยบายของทรัมป์ ก็ออกมาโต้กลับว่าคำสั่งนี้ทำได้ตามกฎหมาย และมีเป้าหมายเพื่อ ป้องกันบริษัทบางแห่งที่ใช้ระบบ H-1B ในทางที่ผิด รวมถึงลดปัญหาการจ้างแรงงานต่างชาติจนกดค่าจ้างคนอเมริกัน โดยข้อมูลชี้ว่าอินเดียเป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับวีซ่า H-1B สัดส่วนสูงมากอยู่ราว 70% ของผู้ได้รับอนุมัติ
ซึ่งทาง Bloomberg ก็ได้สัมภาษณ์ Hiba Anver ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์บริษัท Erickson Immigration Group ในสหรัฐฯ ออกมาให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า มีความกังวลของคนในอุตสาหกรรมจากนโยบายที่เข้มงวดนี้ เพราะมันอาจนำไปสู่การที่บริษัทในสหรัฐฯ ย้ายฐานไปยังต่างประเทศ ที่ตอนนี้หลายประเทศเองก็เริ่มเปิดรับแรงงานที่มีทักษะขั้นสูงมากขึ้นจากเทรนด์เทคโนโลยีเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้าไปพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับคนในประเทศตัวเอง
แก่นของเรื่องนี้คือ นโยบายนี้กำลังสกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ แม้ว่าเจตนาที่กำหนดขึ้นมาก็เพื่อรักษาสมดุลในผลประโยชน์ให้กับคนในชาติก็ตาม เพราะความจริงการสร้างคนทักษะสูงให้พร้อมใช้งานทำไม่ได้ในเวลาสั้น ๆ และเรื่องนี้จะกลายเป็นผลักภาระในกับบริษัทในสหรัฐฯ ที่ต้องแบกรับต้นทุนแบบถูกยัดใส่มือโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จนอาจเกิดความเสี่ยงชะลอการจ้าง การลงทุนบางส่วนได้
ดังนั้นการฉีดยาแรงผ่านนโยบายคงไม่เป็นผลดีเสมอไป ควรมีการพูดคุยกันในทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป้าหมายการปกป้องแรงงานในประเทศสามารถทำไปพร้อม ๆ กับการรักษาขีดความสามารถการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้อย่างแฟร์ที่สุด
แท็กที่เกี่ยวข้อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ด่วน! เม็กซิโกผ่านกฎหมายเก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุดถึง 50% มีผลปี 2026

