
ไม่นานมานี้ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ “คำแนะนำของประธานศาลฎีกา” เกี่ยวกับการใช้ AI ในกระบวนการพิจารณาคดี ถือเป็นครั้งแรกที่ศาลสูงสุดของไทยวางแนวทางอย่างเป็นทางการว่าให้ใช้ AI ช่วยหาข้อมูล วิเคราะห์คดี หรือค้นคำพิพากษาเก่าได้ แต่ห้ามใช้ตัดสินคดีแทนผู้พิพากษาเด็ดขาด
ทำไมถึงไม่ควรใช้ AI ตัดสินคดี ?
AI อาจวิเคราะห์ข้อความหรือพฤติกรรมได้ก็จริง แต่จะไม่เข้าใจน้ำหนักทางอารมณ์หรือเจตนาที่อยู่เบื้องหลังคำพูดนั้น เพราะมันประมวลผลจากข้อมูล ไม่ใช่ประสบการณ์ของการเป็นมนุษย์
.
นอกจากนี้แต่ละคำพิพากษาที่ออกมา คือผลของการ “ปรึกษาและลงมติร่วมกัน” ไม่ใช่เสียงของคนใดคนหนึ่ง อย่างศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ศาลฎีกา ที่ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคน เป็นองค์คณะพิจารณา และใช้หลักเสียงข้างมากในการลงมติหลังการปรึกษาหารือร่วมกัน
.
ซึ่งการที่ AI ตัดสินจากข้อมูลก็อาจไม่จริงเสมอไป เพราะ AI เรียนรู้จากข้อมูลที่มนุษย์เทรน ทำให้มีความเสี่ยงที่ข้อมูลที่ใช้เทรนจะมีอคติ ซึ่งถ้าฐานข้อมูลคดีส่วนใหญ่ในอดีตลงโทษคนบางกลุ่มหนักกว่าอีกกลุ่ม AI ก็จะเรียนรู้แบบนั้น และตัดสินในแนวเดียวกันโดยอัตโนมัติ
.
เดิมทีทุกคำพิพากษาที่อยู่บนพื้นที่ Dilemma อยู่แล้ว ไม่ว่าจะว่าด้วยสิทธิ เสรีภาพ หรือศีลธรรม ล้วนมีข้อโต้แย้งได้ทั้งนั้น ไม่มีใครถูกหมด และไม่มีใครผิดหมด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ “การตีความ”
และการนำข้อมูลเหล่านั้นไปเทรน AI โดยไม่รู้ตัว มันก็แค่เรียนรู้จากอคติเดิมของมนุษย์อยู่ดี ต่อให้พูดว่านี่คือระบบที่ไม่มีอารมณ์ ไม่ลำเอียง แต่มันก็ยัง “อคติในเชิงข้อมูล” อยู่ดี
นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่จะนำข้อมูลบิดเบือนมาใช้อีกด้วย อย่างในสหรัฐฯ มีทนายถูกปรับหมื่นดอลล่าร์เพราะใช้ AI เขียนคำร้องยื่นอุธรณ์ ที่เต็มไปด้วยคดีปลอมและมาตราที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งเขาให้เหตุผลว่าไม่ได้ตรวจทานก่อน เพราะเห็นโฆษณาว่า AI สอบเนติบัณฑิตผ่านได้
สะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินที่มันมีผลกับชีวิตมนุษย์ ยังไม่ควรใช้ AI ขนาดนั้น เพราะมันอาจช่วยค้นข้อมูลหรือวิเคราะห์ได้ แต่ “คำตัดสินสุดท้าย” ควรมาจากมนุษย์และต้องผ่านการตรวจสอบอย่างรอบคอบที่สุด
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทย
ต่างประเทศ
ไทย
ไทย