
หลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในหลายประเทศ สร้างความปั่นป่วนให้กับคู่ค้าทั่วโลก ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่โดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าถึงจำนวน 37% ด้วยเช่นกัน
โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพานิชย์ (SCB EIC) ได้วิเคราะห์ว่า อัตราภาษีนำเข้าที่ไทยและคู่ค้าอื่นๆของสหรัฐฯต้องจ่าย อาจต่ำกว่าที่ทำเนียบประกาศ เนื่องจาก โดนัล ทรัมป์ อาจยอมลดภาษีตอบโต้ให้ หากประเทศนั้นๆแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางการค้าต่อสหรัฐฯ อย่างการลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
ส่วนด้านผู้อำนวยการ วิจัย EIS จากดีทีอาร์ไอได้วิเคราะห์ว่า สิ่งที่สหรัฐฯต้องการจากไทย อาจเป็นการลดภาษีนำเข้าที่ไทยเก็บจากสหรัฐฯ ซึ่งสูงถึง 72% และการโต้กลับด้วยกำแพงภาษีจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่กำหนดขึ้นมาเพื่อต่อรองทางการค้า
ล่าสุด 6 เม.ย.68 รัฐบาลได้จัดตั้งคณะทำงานในเรื่องนี้ขึ้น พร้อมมีแผนเดินทางเจรจากับทางสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยไทยจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สหรัฐ โดยชี้ให้เห็นว่าไทยไม่ได้เป็นผู้ส่งออกเพียงเท่านั้น แต่จะเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ดีต่อสหรัฐฯด้วยเช่นกัน
การเจรจาในครั้งนี้ ไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งด้านพลังงาน อากาศยาน และสินค้าเกษตร รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มอื่นๆที่มีส่วนได้ส่วนเสียในระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ โดยการดำเนินการทั้งหมดนี้ เป็นไปเพื่อลดภาวะขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ
การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยหรือไม่ ?
รัฐบาลได้เน้นย้ำว่าทุกข้อเสนอที่ได้เตรียมไปเจรจากับสหรัฐฯ ล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของไทยมากที่สุด พร้อมเตรียมมาตรการเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบนี้ในระยะสั้น อีกทั้งยังได้เตรียมเงินทุนไว้สำหรับให้ผู้ประกอบการไทยสำหรับหาตลาดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงในการส่งออกไปสหรัฐฯ หากการเจรจาในครั้งนี้ไม่สำเร็จ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวน 3,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีแผนเจรจาเรื่องการส่งเสริมการลงทุน ของไทยในสหรัฐฯอีกเพิ่มเติม และมองว่าการเจรจานี้จะเป็นผลดีมากกว่าผลเสียแน่นอน ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อว่าการเข้าเจรจาครั้งนี้จะเป็นไปตามข้อกำหนดที่ทางรัฐบาลตั้งใจไว้หรือไม่ เพราะหลายประเทศ เช่น แคนาดาและเวียดนาม หรือแม้แต่สหราชอาณาจักรที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ก็ได้เข้าเจรจาไปก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน
สรุปแล้วการคาดเดาความต้องการที่แท้จริงของโดนัลด์ ทรัมป์อาจเป็นเรื่องยาก จึงมองว่าทุกประเทศที่ถูกขึ้นภาษีควรเตรียมมาตรการรองรับเพื่อให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นไปในทิศทางใดก็ตาม
โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพานิชย์ (SCB EIC) ได้วิเคราะห์ว่า อัตราภาษีนำเข้าที่ไทยและคู่ค้าอื่นๆของสหรัฐฯต้องจ่าย อาจต่ำกว่าที่ทำเนียบประกาศ เนื่องจาก โดนัล ทรัมป์ อาจยอมลดภาษีตอบโต้ให้ หากประเทศนั้นๆแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางการค้าต่อสหรัฐฯ อย่างการลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
ส่วนด้านผู้อำนวยการ วิจัย EIS จากดีทีอาร์ไอได้วิเคราะห์ว่า สิ่งที่สหรัฐฯต้องการจากไทย อาจเป็นการลดภาษีนำเข้าที่ไทยเก็บจากสหรัฐฯ ซึ่งสูงถึง 72% และการโต้กลับด้วยกำแพงภาษีจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่กำหนดขึ้นมาเพื่อต่อรองทางการค้า
ล่าสุด 6 เม.ย.68 รัฐบาลได้จัดตั้งคณะทำงานในเรื่องนี้ขึ้น พร้อมมีแผนเดินทางเจรจากับทางสหรัฐฯ เพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยไทยจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สหรัฐ โดยชี้ให้เห็นว่าไทยไม่ได้เป็นผู้ส่งออกเพียงเท่านั้น แต่จะเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ดีต่อสหรัฐฯด้วยเช่นกัน
การเจรจาในครั้งนี้ ไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งด้านพลังงาน อากาศยาน และสินค้าเกษตร รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มอื่นๆที่มีส่วนได้ส่วนเสียในระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ โดยการดำเนินการทั้งหมดนี้ เป็นไปเพื่อลดภาวะขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ
การเจรจาครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยหรือไม่ ?
รัฐบาลได้เน้นย้ำว่าทุกข้อเสนอที่ได้เตรียมไปเจรจากับสหรัฐฯ ล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของไทยมากที่สุด พร้อมเตรียมมาตรการเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบนี้ในระยะสั้น อีกทั้งยังได้เตรียมเงินทุนไว้สำหรับให้ผู้ประกอบการไทยสำหรับหาตลาดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงในการส่งออกไปสหรัฐฯ หากการเจรจาในครั้งนี้ไม่สำเร็จ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวน 3,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีแผนเจรจาเรื่องการส่งเสริมการลงทุน ของไทยในสหรัฐฯอีกเพิ่มเติม และมองว่าการเจรจานี้จะเป็นผลดีมากกว่าผลเสียแน่นอน ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อว่าการเข้าเจรจาครั้งนี้จะเป็นไปตามข้อกำหนดที่ทางรัฐบาลตั้งใจไว้หรือไม่ เพราะหลายประเทศ เช่น แคนาดาและเวียดนาม หรือแม้แต่สหราชอาณาจักรที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ก็ได้เข้าเจรจาไปก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน
สรุปแล้วการคาดเดาความต้องการที่แท้จริงของโดนัลด์ ทรัมป์อาจเป็นเรื่องยาก จึงมองว่าทุกประเทศที่ถูกขึ้นภาษีควรเตรียมมาตรการรองรับเพื่อให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นไปในทิศทางใดก็ตาม
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
สหรัฐฯภาษีนำเข้าไทยGlobaltechTechMovementMoveForBetterTHDigitalMovewithTechMovement
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐกิจ - การลงทุน
สรุปบทเรียนตลาดแรงงานดิจิทัล “ลดคน เพิ่ม AI” คุ้มค่าในระยะยาว?


เศรษฐกิจ - การลงทุน
แอร์บัสปักหมุดลงทุนในไทย หนุน “การบิน-เทคโนโลยี” ของภูมิภาคประเทศ


เศรษฐกิจ - การลงทุน
Taobao “E-commerce จีน” บุกไทยอีกตัว!


เศรษฐกิจ - การลงทุน
Nex Gen Commerce แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติไทย ส่งเสริมธุรกิจไทย
