
ดีลใหญ่ที่ใครก็จับตามอง คงหนีไม่พ้นเรื่อง Tiktok USA โดยทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งบริหารวันที่ 20 ม.ค. เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายแบน TikTok ออกไป 75 วัน ก่อนเลื่อนอีกครั้งในเดือน มิ.ย. ซึ่งเลื่อนไปจนถึงวันที่ 17 ก.ย. ล่าสุดก็ได้มีการบรรลุข้อตกลงกับสีจิ้นผิง ผู้นำจีน เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ผ่านมา ว่าบริษัทสหรัฐฯ จะเข้าควบคุมอัลกอริทึมของ TikTok และสหรัฐฯ จะคุม 6 จาก 7 ที่นั่งในบอร์ดของ TikTok US
ขณะที่ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok จะคุมได้ 1 ที่นั่ง ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวอาจมีการลงนามในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ โดยข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ TikTok USA จะได้รับการดูแลโดยบริษัท Oracle และ อัลกอริทึมจะถูกควบคุมโดยบริษัทสหรัฐฯ เช่นกัน ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่การลงนามเท่านั้น
อำนาจใหม่ที่สหรัฐฯคุม ทำไมจีนถึงยอมปล่อยให้?
อาจมีคนสงสัยว่าทำไมตอนนี้จีนยอมปล่อยให้สหรัฐฯเข้ามาควบคุมแทน ต้องบอกว่าเรื่องนี้ดูต่างไปจากที่คิด โดยมองว่าการตัดสินใจครั้งนี้คาดว่ามาจาก 2 ประเด็นที่น่าสนใจ
ประเด็นแรกคือ Tiktok USA มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก ซึ่งมีผู้ใช้งานต่อเดือนโดยเฉลี่ยมากกว่า 30 ล้านคนในระหว่าง เดือนม.ค. - มิ.ย. 68 แปลว่านี่คือแหล่งรายได้สำคัญที่บริษัทยังต้องเก็บไว้ แน่นอนว่าด้านข้อมูลของผู้ใช้งานนั้นก็มีมูลค่าไม่แพ้กัน แต่จากที่บริษัทเป็นคนควบคุมมาตั้งแต่ต้น เลยมองว่าข้อมูลที่เคยดูแลก่อนหน้านี้อาจถูกจัดเก็บมากพออยู่แล้ว และยังมีอีกหลายประเทศที่จีนเองก็ยังควบคุมได้เพราะยังไง Tiktok ก็ไม่ได้เปิดให้ใช้งานแค่สหรัฐฯ จึงยอมที่จะปล่อยให้สหรัฐฯเข้ามาควบคุมเอง
ส่วนประเด็นที่สองนั้น คงเป็นผลจากกฎหมายควบคุมแอปพลิเคชันที่มีเจ้าของจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติคุ้มครองชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ถูกควบคุมโดยคู่ปรับต่างชาติ (“กฎหมายฯ”) (Pub. L. 118-50, div. H) กำหนดกฎเกณฑ์กำกับดูแล “แอปพลิเคชันที่ถูกควบคุมโดยต่างชาติ” โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่ดำเนินการโดย TikTok และบริษัทอื่น ๆ ของบริษัทแม่อย่าง ByteDance Ltd. ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งอย่างที่รู้ว่า ByteDance Ltd. เคยพยายามยื่นคำร้องคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 ต่อพระราชบัญญัตินี้แต่ก็ไม่ก็ไม่เสร็จ เลยเป็นไปได้ว่าหากยืนยันที่จะทำตามการควบคุมของตัวเองต่อไป อาจมีแต่เสียกับเสียมากกว่า
ซึ่งในมุมมองของการทำธุรกิจการที่ ByteDance เลือกทางนี้คงเป็นทางออกที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทน้อยที่สุด เพราะได้พิสูจน์แล้วจากที่บริษัทเองก็เคยต่อสู้ในชั้นศาลมาตั้งแต่ปีที่แล้วซึ่งผลที่ออกมาก็ไม่ได้น่าพอใจสักเท่าไหร่
กลับมาที่ไทยเรา We Are Social เคยรายงานว่า ไทยขึ้นแท่นเป็นประเทศอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย และเป็นอันดับสองของโลกในด้านจำนวนผู้ใช้งาน TikTok มากที่สุด แปลว่าข้อมูลของเราก็อยู่ที่แพลตฟอร์มจำนวน เรื่องนี้ทำให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาตรการควบคุมแพลตฟอร์มเหล่านี้มากขึ้น โดยล่าสุดก็มีการออกกฎหมายด้านการควบคุมข้อมูลจากแพลตฟอร์มเพิ่ม เหตุผลก็คล้ายกับสหรัฐฯคือด้านการปกป้องข้อมูลผู้ใช้บริการที่อาจมีผลต่อความมั่นคงของชาติ และเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับคนไทยเอง ซึ่งก็ชัดว่าถ้าเราสามารถควบคุมข้อมูลภายในได้มากขึ้น ก็จะช่วยลดความเสียเปรียบด้านเศรษฐกิจในอนาคตด้วยเช่นกัน
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง


