
เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์หนาหูจากเหล่า Creator หลัง CapCut ซึ่งอยู่ภายใต้บริษัท ByteDance จากจีน ได้อัปเดตเงื่อนไข “Terms of Service” ที่สะเทือนวงการครีเอเตอร์ โดยประกาศว่า ทุกเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นบนแอปฯ ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง วิดีโอ หรือแม้แต่ใบหน้าและเสียงพูดของผู้ใช้งาน บริษัทสามารถนำไปใช้ต่อได้ “ถาวร” ที่อาจ “ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์” แม้เป็นการใช้ในเชิงพาณิชย์ก็ตาม
และที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานยังสามารถถูกนำไปใช้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิง หรือนำไปแสดงในสื่อโฆษณา โดยที่เจ้าของบัญชีอาจ ไม่รู้ตัว ไม่มีสิทธิ์ค้าน หรือแม้แต่ได้รับแจ้งล่วงหน้าได้
คนทั่วไปอาจมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับ Creator ผู้สร้างคอนเทนต์เป็นอาชีพแล้วนั้นโดนผลกระทบอย่างเต็มแรง เพราะอาชีพเหล่านี้ต้องสร้างสรรค์ Content VDO เป็นหลัก ซึ่งต้องผ่านกระบวนการวางแผนการทำงานมากมาย ที่กว่าจะเผยแพร่แต่ละคลิปออกมาได้ เรียกว่าเหน็ดเหนื่อยกันไม่น้อย
ซึ่งทั้งหมดนี้ควรเป็น “ทรัพย์สินทางปัญญา” ของผู้สร้างโดยชอบธรรม แต่ดูจาก Terms of Service ที่ทาง Capcut ออกมาประกาศนั้นเหมือน “ชุบมือเปิบ” ผลงานกันแบบเห็น ๆ
นโยบายนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาที่เรามักมองข้าม จากการที่มีทางเลือกใช้ “แอปฯ” น้อยเกินไป ทำให้แอปฯ มักมีช่องโหว่ “เอาเปรียบผู้บริโภค” อยู่เสมอ โดยจะทำให้ผู้ใช้เสพติดการใช้งานแอปฯนั้น พอเริ่มมีผู้ใช้งานมากพอก็เริ่มสร้าง “อำนาจต่อรอง” เพื่อควบคุมกฎเกณฑ์การใช้งานได้เพียงฝ่ายเดียว
ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่สามารถปฏิเสธได้ นอกจากจะ “เลิกใช้บริการ” และหันไปใช้แอปฯ อื่นแทน ซึ่งอาจหมายถึงต้องทิ้งเงินที่สมัครบริการล่วงหน้าไว้แต่แรกไปด้วย
มาถึงตรงนี้แล้ว ก็อยากให้ทุกคน ระมัดระวัง อ่านเงื่อนไขการให้บริการให้ดี และเรื่องนี้คงเป็นกรณีศึกษาให้ผู้ใช้ทุกคนได้กลับมาทบทวนว่าการยึดติด “ใช้งานแอปฯเดียว” อาจหมายถึงการเสีย “สิทธิ์ทั้งหมด” ไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรเริ่มมีแผนสำรองเพื่อเป็นทางเลือกกระจายความเสี่ยง จากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของผู้ให้บริการที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
และที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานยังสามารถถูกนำไปใช้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิง หรือนำไปแสดงในสื่อโฆษณา โดยที่เจ้าของบัญชีอาจ ไม่รู้ตัว ไม่มีสิทธิ์ค้าน หรือแม้แต่ได้รับแจ้งล่วงหน้าได้
แอปฯต่างชาติ “ห้ามปักหลักใช้” ควรมีทางเลือกอื่นสำรอง ?
คนทั่วไปอาจมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับ Creator ผู้สร้างคอนเทนต์เป็นอาชีพแล้วนั้นโดนผลกระทบอย่างเต็มแรง เพราะอาชีพเหล่านี้ต้องสร้างสรรค์ Content VDO เป็นหลัก ซึ่งต้องผ่านกระบวนการวางแผนการทำงานมากมาย ที่กว่าจะเผยแพร่แต่ละคลิปออกมาได้ เรียกว่าเหน็ดเหนื่อยกันไม่น้อย
ซึ่งทั้งหมดนี้ควรเป็น “ทรัพย์สินทางปัญญา” ของผู้สร้างโดยชอบธรรม แต่ดูจาก Terms of Service ที่ทาง Capcut ออกมาประกาศนั้นเหมือน “ชุบมือเปิบ” ผลงานกันแบบเห็น ๆ
นโยบายนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาที่เรามักมองข้าม จากการที่มีทางเลือกใช้ “แอปฯ” น้อยเกินไป ทำให้แอปฯ มักมีช่องโหว่ “เอาเปรียบผู้บริโภค” อยู่เสมอ โดยจะทำให้ผู้ใช้เสพติดการใช้งานแอปฯนั้น พอเริ่มมีผู้ใช้งานมากพอก็เริ่มสร้าง “อำนาจต่อรอง” เพื่อควบคุมกฎเกณฑ์การใช้งานได้เพียงฝ่ายเดียว
ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่สามารถปฏิเสธได้ นอกจากจะ “เลิกใช้บริการ” และหันไปใช้แอปฯ อื่นแทน ซึ่งอาจหมายถึงต้องทิ้งเงินที่สมัครบริการล่วงหน้าไว้แต่แรกไปด้วย
มาถึงตรงนี้แล้ว ก็อยากให้ทุกคน ระมัดระวัง อ่านเงื่อนไขการให้บริการให้ดี และเรื่องนี้คงเป็นกรณีศึกษาให้ผู้ใช้ทุกคนได้กลับมาทบทวนว่าการยึดติด “ใช้งานแอปฯเดียว” อาจหมายถึงการเสีย “สิทธิ์ทั้งหมด” ไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรเริ่มมีแผนสำรองเพื่อเป็นทางเลือกกระจายความเสี่ยง จากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของผู้ให้บริการที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
CapcutCreatorApplicationทรัพย์สินทางปัญญาGlobaltechTechmovementMoveForBetterTHDigitalMovewithTechMovement