
กระแสแร่แรร์เอิร์ธกลับมาอีกครั้ง หลังไทยได้เซ็น MOU หรือบันทึกความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้ การแปรรูปในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง กับสหรัฐฯ ซึ่งวันนี้เราอาจไม่ต้องบอกว่า แรร์เอิร์ธ คืออะไรเพราะเชื่อว่าหลายคนพอจะรู้อยู่แล้ว
เพราะแรร์เอิร์ธกลายเป็นดาวเด่น และกำลังถูกแย่งชิงเพื่อกุมอำนาจด้านเทคโนโลยีระดับโลกจากเมกะเทรนด์ของ AI ที่เกิดขึ้นแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า “ไทยก็มีแร่แรร์เอิร์ธ” อยู่เป็นอันดับ 5 ของโลก (ข้อมูล ณ ปี 2023 โดยเว็บไซต์ Government Of Canada) พร้อมเกิดคำถามว่าทำไมไทยถึงไม่นำแร่นี้มาเป็นรายได้เข้าประเทศ เพราะเป็นวัตถุดิบสำคัญในยุค AI และพลังงานสะอาด เพื่อใช้ผลิตชิป แม่เหล็กมอเตอร์ EV กังหันลม และระบบนำทางทางทหาร
ไทยมีแร่ก็จริง แต่ใครกันที่ถือครอง?
ข้อมูลสัดส่วนของแร่แรร์เอิร์ธทั่วโลก ที่แม้ไทยจะอยู่ในอันดับ Top 10 แต่จำนวนที่มีอาจเป็นแหล่งแร่หลักไม่ได้ ซึ่งทาง กพร. ได้ออกมาบอกว่าในไทยมีแร่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น ภาคตะวันตก ภาคใต้ แต่กลับไม่พบพื้นที่กระจุกตัวที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในประเทศไทย
โดยข้อเด่น ๆ ของดีลนี้สหรัฐฯจะได้สิทธิพิเศษในการทราบข้อมูลแหล่งแร่ที่พบก่อนใคร ส่วนการลงทุนนั้นจะถูกพิจารณาอีกที อย่างที่รู้กันว่าสหรัฐฯนั้นถือครองแร่อยู่แล้ว แน่นอนว่านี่คือการทำเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าแร่จากจีนให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นหนึ่งในเกมทางภูมิเศรษฐศาสตร์ที่มีแร่นี้เป็นอาวุธในสมรภูมิการค้าใหม่
เรื่องนี้มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ 2 ส่วนคือ ประเด็นแรกเรื่องของผลประโยชน์ที่ไทยจะได้จากการเซ็น MOU กับสหรัฐครั้งนี้ ก็มีหลายเสียงที่แตกออกไป บ้างก็ว่า ‘ดีลนี้มันเปิดโอกาสให้ไทยได้เพิ่มองค์ความรู้เพื่อพัฒนาในอนาคต’ หรือ ‘ดีลนี้ไทยอาจเสียเปรียบ
เพราะข้อกำหนดที่ระบุในเอกสารล้วนแต่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายสหรัฐมากกว่า’ ซึ่งแน่นอนว่าดีลที่เกิดขึ้นเกิดจากความต้องการทางด้านการลงทุนในประเทศเพิ่ม รวมไปถึงความต้องการถ่ายทอดด้านเทคโนโลยีให้กับไทย
และแม้ว่าเปอร์เซ็นต์ที่เรามีอาจจะเป็นจำนวนน้อย แต่ถ้ามหาอำนาจอย่างสหรัฐฯได้ไป ก็อาจเป็นการท็อปอัพ ให้กับซับพลายเชนได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งพาร์ทของแต้มต่อเศรษฐกิจให้กับประเทศ เพราะไทยพร้อมในการเป็นฮับอยู่แล้วจากโครงสร้างพื้นฐานที่มี ก็อาจใช้ประโยชน์จากดีลนี้ในการเพิ่ม GDP ของประเทศ พร้อมยังช่วยสร้างการจ้างงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นได้อีกเช่นกัน
ซึ่งถ้าดูจากข้อมูลการส่งออกไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปีขยายตัวอยู่ที่ 13.3% YoY แต่ช่วงที่เหลือของปี 2 คาดว่าจะหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ และทั้งปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการภาพรวมการส่งออกไทยขยายตัวอยู่ที่ 5.7% แปลว่าถ้าไทยสามารถเพิ่มการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธเพิ่มได้ วัตถุดิบนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ช่วยขยายการส่งออกให้กับประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ
แต่สิ่งที่ไทยอาจต้องระวังหลังจากนี้คือกระบวนการสกัดแร่ที่เป็นปัญหาในหลายประเทศ โดยก่อนหน้านี้ไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากประเทศเพื่อนบ้านในการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธมาแล้วในพื้นที่ภาคเหนือที่พบสารพิษปนเปื้อนในน้ำ และปัจจุบันปัญหาก็ยังไม่คลี่คลายส่งผลให้หลายคนกังวลในด้านสิ่งแวดล้อม
ส่วนในประเด็นที่สอง จากการสืบค้นข้อมูลเบื้องต้นก็พบว่าไทยมีบริษัทที่ประกอบกิจการ จำหน่าย แร่ธาตุ แร่โลหะหายากของโลก รวมทั้งผลิตจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือวัสดุที่เกี่ยวข้องกับแร่ธาตุ แรร์เอิร์ท ทุกชนิด โดยจดทะเบียนในไทย โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นเป็นบุคคลสัญชาติจีนทั้งหมด
เลยเป็นที่น่าตั้งข้อสังเกตว่า หากไทยได้มีการส่งออกแร่หายากนี้ได้จริงเปอร์เซ็นต์ที่รายได้จะเข้าประเทศนั้นจะถูกแบ่งออกไปมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อว่าสุดท้ายแล้วบริษัทที่จะเข้ามาเป็นผู้ส่งออกแร่ที่แท้จริงจะเป็นบริษัทที่ไหน และบริหารโดยใคร
เพราะนี่คือราคาที่ไทยต้องจ่ายให้กับสิ่งแวดล้อมจากขั้นตอนทำเหมืองหากเกิดขึ้นจริงในอนาคต ยังไม่รวมถึงความท้าทายด้านนโยบายต่างประเทศเพื่อรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างจีนที่ตอนนี้อาจถูกมองว่าท้าทายในอำนาจผูกขาดโดยตรง ซึ่งหากไทยสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้ ก็จะเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์สำคัญที่กลายเป็นผลประโยชน์ที่ยั่งยืนของชาติได้ในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทย
ไทย
ต่างประเทศ
ต่างประเทศ