
จากกระแสข่าว สหรัฐฯ กำลังวางแผนการจำกัดการส่งออกชิป AI โดยเฉพาะจากบริษัท Nvidia ไปยังประเทศไทย และมาเลเซีย ที่ต้องการป้องกันการลักลอบส่งชิปเข้าสู่ประเทศจีน สะท้อนถึงความตึงเครียดทางเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจ
เพราะมีความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ที่สหรัฐฯ มองว่าการควบคุมนี้ เป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยี เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของประเทศคู่แข่ง
มาตรการนี้จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่ประเทศมหาอำนาจ “ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์” เพื่อจำกัดความสามารถในการแข่งขัน และการรักษาส่วนแบ่งตลาด เสมือนเป็นการทำสงครามด้านเทคโนโลยี
แม้แผนดังกล่าว จะบอกว่าเป็นการจำกัดการใช้งานเทคโนโลยีขั้นสูงไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของจีนก็จริง
แต่ถ้ามองอีกด้าน มาตรการนี้ก็ไม่ต่างจากการบีบให้ไทย ถูกจำกัดความสามารถทางการแข่งขันตั้งแต่ต้นทาง และทำการมัดมือชก ให้ใช้บริการของสหรัฐฯแทน ในทางอ้อม โดยใช้ “จีน” เป็นข้ออ้าง เพื่อบังคับใช้เรื่องนี้ได้อย่างเนียนๆ หรือไม่ เพราะความเปราะบางเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอาจทำให้เราต้องพึ่งพา สหรัฐฯ อย่างเลี่ยงไม่ได้
และการรับมือกับเรื่องนี้ อาจต้องพิจารณากลยุทธ์หลายด้าน อย่างเช่น การหาแหล่งเทคโนโลยีทางเลือกจากประเทศอื่นๆ การเสริมสร้างความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีเองภายในประเทศ และการสร้างพันธมิตรทางเทคโนโลยีกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
รวมถึงการลงทุนในการศึกษา และวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในระยะยาว ที่ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้มากขึ้น
ซึ่งก็ชัดแล้วว่า เรื่องนี้คงเป็นหนึ่งในความพยายามของสหรัฐฯ ที่ต้องการรักษาส่วนแบ่งตลาด และฐานอำนาจเอาไว้ ไม่ต่างจากการทำสงครามเย็นทางเทคโนโลยี หรือ “AI Cold War” ที่ใครมีอำนาจมากกว่า ก็คงกำหนดทิศทางเศรษฐกิจนี้ได้ง่ายๆ
และเป็นสิ่งที่ต้องกลับมาตระหนัก ว่าการสร้าง “ทางเลือก” จากการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ คงไม่ใช่แค่ช่วยเรื่องเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมอีกต่อไปแล้ว แต่ยังลดความเสี่ยงด้านอำนาจอธิปไตยทางเทคโนโลยีได้ในระยะยาว
เพราะมีความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ที่สหรัฐฯ มองว่าการควบคุมนี้ เป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยี เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของประเทศคู่แข่ง
มาตรการนี้จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่ประเทศมหาอำนาจ “ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์” เพื่อจำกัดความสามารถในการแข่งขัน และการรักษาส่วนแบ่งตลาด เสมือนเป็นการทำสงครามด้านเทคโนโลยี
มาตรการปกป้องความมั่นคง หรือบีบให้ต้องพึ่งพาสหรัฐฯ มากขึ้น ?
แม้แผนดังกล่าว จะบอกว่าเป็นการจำกัดการใช้งานเทคโนโลยีขั้นสูงไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของจีนก็จริง
แต่ถ้ามองอีกด้าน มาตรการนี้ก็ไม่ต่างจากการบีบให้ไทย ถูกจำกัดความสามารถทางการแข่งขันตั้งแต่ต้นทาง และทำการมัดมือชก ให้ใช้บริการของสหรัฐฯแทน ในทางอ้อม โดยใช้ “จีน” เป็นข้ออ้าง เพื่อบังคับใช้เรื่องนี้ได้อย่างเนียนๆ หรือไม่ เพราะความเปราะบางเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอาจทำให้เราต้องพึ่งพา สหรัฐฯ อย่างเลี่ยงไม่ได้
และการรับมือกับเรื่องนี้ อาจต้องพิจารณากลยุทธ์หลายด้าน อย่างเช่น การหาแหล่งเทคโนโลยีทางเลือกจากประเทศอื่นๆ การเสริมสร้างความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีเองภายในประเทศ และการสร้างพันธมิตรทางเทคโนโลยีกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
รวมถึงการลงทุนในการศึกษา และวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในระยะยาว ที่ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้มากขึ้น
ซึ่งก็ชัดแล้วว่า เรื่องนี้คงเป็นหนึ่งในความพยายามของสหรัฐฯ ที่ต้องการรักษาส่วนแบ่งตลาด และฐานอำนาจเอาไว้ ไม่ต่างจากการทำสงครามเย็นทางเทคโนโลยี หรือ “AI Cold War” ที่ใครมีอำนาจมากกว่า ก็คงกำหนดทิศทางเศรษฐกิจนี้ได้ง่ายๆ
และเป็นสิ่งที่ต้องกลับมาตระหนัก ว่าการสร้าง “ทางเลือก” จากการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ คงไม่ใช่แค่ช่วยเรื่องเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมอีกต่อไปแล้ว แต่ยังลดความเสี่ยงด้านอำนาจอธิปไตยทางเทคโนโลยีได้ในระยะยาว
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
AISemiconductorUSAThailandGlobaltechTechMovementMoveForBetterTH
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐกิจ - การลงทุน
เมินกัมพูชาก่อน ! จับตาเจรจาภาษีสหรัฐฯ “ไทยได้คิวคุยแล้ว”


เศรษฐกิจ - การลงทุน
สรุปบทเรียนตลาดแรงงานดิจิทัล “ลดคน เพิ่ม AI” คุ้มค่าในระยะยาว?


เศรษฐกิจ - การลงทุน
แอร์บัสปักหมุดลงทุนในไทย หนุน “การบิน-เทคโนโลยี” ของภูมิภาคประเทศ


เศรษฐกิจ - การลงทุน
Taobao “E-commerce จีน” บุกไทยอีกตัว!
