
ใกล้จบปี 2025 คนถูกปลดไปแค่ไหนแล้ว
โดยข้อมูลในสหรัฐฯ ตอนนี้บริษัทที่ประกาศแผนเลิกจ้างมีจำนวนสะสมแล้วกว่า 946,426 ตำแหน่ง (ม.ค.–ก.ย. 2025) ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2020 และแผนการจ้างงานใหม่ยังต่ำสุดตั้งแต่ปี 2009 สะท้อนภาวะระวังความเสี่ยงด้านการจ้างงานที่กำลังเกิดขึ้น นอกจากนี้อุตสาหกรรมเทคฯ ทั่วโลกหลายบริษัทประกาศปลดรวมราว 160,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่นับจากเหตุการณ์ที่สื่อรายงานแล้วเท่านั้น ก็อาจเป็นไปได้ว่าในองค์กรขนาดเล็กจะมีการปลดเพิ่มนอกเหนือจากที่เราเห็นกัน
ทำไมหลายคนเชื่อว่า AI คือเหตุผลเดียว ?
แน่นอนว่าเหตุผลหลักมาจากเทรนด์ AI ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ อย่างบริษัท Duolingo ที่ใช้ AI ลดงานที่ทำซ้ำๆ ตั้งแต่ปี 2024 ขณะเดียวกันก็ออกมายืนยันว่าปี 2025 จะไม่ได้เลิกจ้างพนักงานประจำเพราะ AI แต่ “งานจะเปลี่ยนรูปแบบ” มากขึ้น ส่วนบริษัท BT ก็เคยประกาศแผนลดพนักงานยาวถึงปี 2030 เพราะเหตุผลด้านบทบาทของดิจิทัล และ AI ในการลดงานรูทีน รวมถึง IBM เคยประกาศพักจ้างงานบางตำแหน่ง back-office ที่ AI ทำได้ตั้งแต่ปี 2023 เช่นกัน
ภาพรวมข้อมูลทั้งหมดนี้ กับการพัฒนาของ AI ในปัจจุบันก็ไม่แปลกที่ทำให้เราต่างเชื่อไปในทางเดียวกันว่า AI เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบกับการจ้างงานในตอนนี้
แต่ล่าสุดบริษัท เนสเล่ (Nestlé) ที่ไม่ใช่บริษัทด้านเทคโนโลยี กลับประกาศลดพนักงานกว่า 16,000 คนภายใน 2 ปีนี้ โดยให้คำตอบที่สวนทางกับบริษัทอื่นว่า แผนการเลิกจ้างที่เกิดขึ้นนั้นทำเพื่อเร่งลดค่าใช้จ่ายเป็นหลัก แม้จะมีแอบบอกเล็ก ๆ ว่าจะปรับโครงสร้างการทำงานขององค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพจากการใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้นเพื่อเร่งให้ทันต่อเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก
แต่ก็มีแรงกดดันสำคัญหลัก ๆ มาจาก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (โกโก้/กาแฟ), อัตราแลกเปลี่ยน, ภาษี/มาตรการการค้า และการฟื้นตัวของดีมานด์ในบางภูมิภาค แปลว่าบริษัทยึดตลาดของสินค้าเป็นมาตรการคุมต้นทุนรอบใหญ่ มากกว่าประเด็น AI แค่อย่างเดียว
เพราะธุรกิจคือการบริหารรอบด้าน ไม่ใช่ยึดแค่เทรนด์ที่เกิดขึ้น
จริง ๆ เรื่องการลดคนทำงานในองค์กรมีอยู่แล้วในทุกปี ซึ่งภาพรวมตอนนี้ต้นทุนคนนั้นสูง จากปัจจัยค่าจ้าง สวัสดิการ เป็นต้น ทำให้ต้องมีการจัดพอร์ตงานใหม่ เอางานที่ทำซ้ำๆ ไปอยู่กับระบบหรือซอฟต์แวร์มากขึ้น แล้วให้มีแค่คนทำงานที่สร้างมูลค่า แต่หากองค์กรลดคนมากเกินไปพร้อมกันหลายอุตสาหกรรม ก็อาจจะส่งผลด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนที่กดกำลังซื้อภาพรวม และย้อนกระทบรายได้บริษัทเหมือนเป็นห่วงโซ่ต่อกันไป อย่างปีนี้สหรัฐฯ เห็นสัญญาณ “ลดคนสูง+แผนจ้างใหม่ต่ำ” ชัดจึงยิ่งทำให้ผู้บริหารระวังการลงทุนระยะยาว
สุดท้าย AI จะเป็นแค่ตัวเร่ง ที่อาจเป็นเพียงความกลัวขององค์กร จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ต้นทุน และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ มากกว่าปัจจัย AI ซึ่งสิ่งที่เราในฐานะคนทำงาน อาจจะหันมาศึกษาเรื่องของการอัพสกิลที่ AI ยังไม่สามารถทดแทนได้ง่าย อย่างการออกแบบเชิงยุทธศาสตร์ การจัดการโปรเจกต์ที่ซับซ้อน ความคิดสร้างสรรค์ระดับสูง และการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ปรับตัวให้เร็วอยู่เสมอ เชื่อว่าทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นคงในการทำงานให้เราได้มากขึ้น
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทย
ต่างประเทศ
ไทย
ไทย