
สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้เราเห็นภาพการโต้ตอบมากมาย ทั้งทางทหาร การทูต และ “การสื่อสาร” ที่ฝั่งกัมพูชาเลือกใช้วิธีเผยแพร่ข้อมูลเท็จอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือทำไมคนกัมพูชายัง “เชื่อ” ข่าวเหล่านี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ?
ที่จริงกัมพูชาใช้วิธีที่เรียกว่า Propaganda เพื่อปลูกฝังแนวคิดให้เป็นระบบเดียวกันต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน เริ่มตั้งแต่การใช้ใน “ระบบการศึกษา” ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้มานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในการโฆษณาชวนเชื่อสื่อสารกับประชาชนให้สนับสนุนสงคราม หรือเตรียมพร้อมทำสงคราม สร้างภาพที่เลวร้ายให้ศัตรูขึ้นมา และถูกใช้มากที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยโฆษณาชวนเชื่อนั้นสามารถหล่อหลอมคนในชาติหนึ่งให้เกลียดกลัวเชื้อชาติ และกลุ่มคนบางประเทศได้
สิ่งที่ทำให้กัมพูชาต่างจากที่อื่น คือความเข้มข้นในการบ่มเพาะความเกลียดชัง เห็นได้ชัดจากงานวิจัย “ภาพแทนไทยในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาของกัมพูชา” ของ รศ.ดร.ชาญชัย คงเพียรธรรม ตีพิมพ์ในวารสารแบบเรียนประวัติศาสตร์ ม.ปลายของกัมพูชา
รวมถึงการสื่อสารผ่าน นิทานปรัมปรา อย่างเรื่อง พระโค พระแก้ว ที่สร้างความเข้าใจผิดว่าไทยในสมัยก่อนใช้กลโกงเพื่อเอาชนะ และขโมยสิ่งที่ต้องเป็นของกัมพูชามา จนทำให้ไทยก้าวหน้าจนถึงวันนี้ แต่กัมพูชากับเสื่อมถอยลง
สะท้อนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สอนแค่ความเป็นมาใน “อดีต” แต่ยังสอนในเกิดความรู้สึก “เกลียดชัง” ชาติอื่นในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมสื่อในประเทศอย่างเข้มงวด จากการบริหารงานของลูกสาวฮุนเซ็น อย่าง ฮุน มานา ที่คุมสื่อกัมพูชาอยู่ในมือเกือบ 100% ไม่ว่าจะวิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์ หรือสื่อออนไลน์ กัมพูชา และมีสมาคมนักข่าว 13 สมาคม และ ฮุน มาลี ที่มีสามีอย่าง สก พุทธิวุทธ นั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารโทรคมนาคมกัมพูชา ระบบสื่อสารและงาน ICT ทั้งหมด ที่คอยควบคุมสอดส่อง และเซ็นเซอร์เนื้อหาออนไลน์ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล
ซึ่งการบิดเบือนข้อมูลที่สื่อสาร และนำเสนอประเด็นในหลายแง่มุม ทั้งเหตุผลที่ควรสงสัย เหตุผลที่ควรเชื่อในสิ่งที่สอน จะกระตุ้นให้ผู้เสพสื่อประเมินทุกอย่างด้วยตัวเองได้อัตโนมัติ ที่ควบคุมการรับรู้ของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ หรือผู้มีอำนาจได้
เพราะการใช้ประวัติศาสตร์ที่บอบช้ำ สร้างทัศคติลบต่อชาติอื่น คงทำเพื่อหากมีความจำเป็นต้องปลุกระดมทางความคิดอะไรบางอย่าง เสียงจากประชาชน บวกกับพลังบนโซเชียลมีเดียจะทำให้สงครามด้านการสื่อสารแข็งแกร่ง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะจริงหรือไม่ ก็สร้างความสับสนให้กับคนภายนอกได้ไม่น้อย
และนี่คือจุดประสงค์หลักที่กัมพูชาทำมาตลอด แม้จะใช้ไม่ได้ผลกับคนที่ตื่นรู้ในข้อมูลข่าวสารแล้วก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในกัมพูชาเป็นภาพสะท้อนของการควบคุมการรับรู้ในประเทศอย่างหนึ่งที่ฝังรากลึกให้คนในชาติ และยังได้ผลดีเสมอ
ที่ไม่ว่าวันนี้การเข้าถึงข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดียจะกว้างมากแค่ไหน คนที่มีความเชื่อบางอย่างมาอย่างยาวนาน ก็ยากที่จะเปลี่ยนความคิด และการชี้นำให้คนในชาติเชื่อได้อย่างสนิทใจ นั่นแปลว่ารัฐจะควบคุมทุกอย่างได้ง่ายขึ้น
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว