
ท่ามกลางความไม่สงบในตะวันออกกลางที่ไม่ได้มีแค่ประเด็นของสงคราม แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงพื้นที่สำคัญอย่าง “ช่องแคบฮอร์มุซ” โดยอิหร่านประกาศว่าจะพิจารณา “ปิดเส้นทางนี้” แม้ตามกฎหมายระหว่างประเทศจะไม่มีสิทธิในการปิดก็ตาม
จึงคาดเดาว่า การปิดที่พูดถึง อาจเป็นวิธีที่ใช้การข่มขู่หรือคุกคาม หมายความว่าเรื่องนี้จะไม่ได้กระทบแค่ระหว่างสองประเทศ แต่อาจลุกลามไปยังเศรษฐกิจโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ช่องแคบฮอร์มุซ”(Strait of Hormuz) เส้นทางเดินเรือที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมาน และอิหร่าน เชื่อมต่อกับอ่าวเปอร์เซีย อ่าวโอมาน และทะเลอาหรับในมหาสมุทรอินเดีย เป็นที่รู้กันว่าบริเวณนี้มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก ที่มีความสำคัญต่อการค้าน้ำมันโลก เพราะมีหลายประเทศใช้เส้นทางนี้เพื่อการขนส่งสินค้าทางเรือจำนวนมาก แม้ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐฯ เผยว่าอิหร่านส่งน้ำมันถึง 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ผ่านช่องแคบนี้ในไตรมาสแรกของปี 68 ก็ตาม
แน่นอนว่าส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่เป็นทรัพยากรหลักในการส่งออก มีราคาสูงขึ้น กระทบต่อการขนส่งน้ำมันที่เป็นไปอย่างยากลำบาก เรือขนส่งสินค้าไม่สามารถขนส่งได้อย่างปกติ และกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมันในภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพาเส้นทางการค้าแห่งนี้อย่าง ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต และกาตาร์ รวมถึงประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างจีน ที่นำเข้าน้ำมันส่วนใหญ่จากอิหร่าน
อาจเป็นเหตุให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบ พลังงานสำคัญ ความต้องการขายสินค้าหยุดชะงักที่ส่งผลกระทบต่อกันไปทอด ๆ ตลาดการเงินเกิดความผันผวน และส่งผลต่อปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงกว่า 17,000 ล้านบาร์เรล
ความขัดแย้งนี้อาจส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงาน ทำให้การกระจายพลังงานไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ติดขัด และผลักดันให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงยังกระทบเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง
ประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงต้องเร่งปรับตัว เตรียมพร้อมรับมือภาวะขาดแคลน ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับ “พลังงานสะอาด” ควบคู่ไปกับพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน เพื่อให้เศรษฐกิจยังเดินต่อไปได้ แม้ในวันที่ความมั่นคงของทรัพยากรสั่นคลอน
จึงคาดเดาว่า การปิดที่พูดถึง อาจเป็นวิธีที่ใช้การข่มขู่หรือคุกคาม หมายความว่าเรื่องนี้จะไม่ได้กระทบแค่ระหว่างสองประเทศ แต่อาจลุกลามไปยังเศรษฐกิจโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้
รู้จัก “ช่องแคบฮอร์มุซ” หัวใจของเศรษฐกิจพลังงาน
“ช่องแคบฮอร์มุซ”(Strait of Hormuz) เส้นทางเดินเรือที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมาน และอิหร่าน เชื่อมต่อกับอ่าวเปอร์เซีย อ่าวโอมาน และทะเลอาหรับในมหาสมุทรอินเดีย เป็นที่รู้กันว่าบริเวณนี้มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก ที่มีความสำคัญต่อการค้าน้ำมันโลก เพราะมีหลายประเทศใช้เส้นทางนี้เพื่อการขนส่งสินค้าทางเรือจำนวนมาก แม้ข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐฯ เผยว่าอิหร่านส่งน้ำมันถึง 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ผ่านช่องแคบนี้ในไตรมาสแรกของปี 68 ก็ตาม
จะเกิดอะไรขึ้นถ้า “ช่องแคบฮอร์มุซ” ถูกปิด ?
แน่นอนว่าส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่เป็นทรัพยากรหลักในการส่งออก มีราคาสูงขึ้น กระทบต่อการขนส่งน้ำมันที่เป็นไปอย่างยากลำบาก เรือขนส่งสินค้าไม่สามารถขนส่งได้อย่างปกติ และกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมันในภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพาเส้นทางการค้าแห่งนี้อย่าง ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต และกาตาร์ รวมถึงประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างจีน ที่นำเข้าน้ำมันส่วนใหญ่จากอิหร่าน
อาจเป็นเหตุให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบ พลังงานสำคัญ ความต้องการขายสินค้าหยุดชะงักที่ส่งผลกระทบต่อกันไปทอด ๆ ตลาดการเงินเกิดความผันผวน และส่งผลต่อปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงกว่า 17,000 ล้านบาร์เรล
ความขัดแย้งนี้อาจส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงาน ทำให้การกระจายพลังงานไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ติดขัด และผลักดันให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงยังกระทบเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง
ประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงต้องเร่งปรับตัว เตรียมพร้อมรับมือภาวะขาดแคลน ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับ “พลังงานสะอาด” ควบคู่ไปกับพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน เพื่อให้เศรษฐกิจยังเดินต่อไปได้ แม้ในวันที่ความมั่นคงของทรัพยากรสั่นคลอน
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
Hormuzช่องแคบฮอร์มุซMiddleEastEconomicsGlobaltechTechmovementMoveForBetterTHDigitalMovewithTechMovement