
รู้ไหมว่าคนไทยถูกสแกมเมอร์ติดต่อกว่า 72% และในหนึ่งปี ผู้บริโภคหนึ่งคนอาจเผชิญสแกมมากถึง 172 ครั้ง นั่นแปลว่าเราจะมีข้อความและเบอร์แปลกโทรเข้ามาในทุกสองวัน
แม้แต่การเปิด Facebook, Gmail หรือ TikTok ก็เสี่ยงเจอข้อความปลอมเป็นธนาคาร บริษัทจัดส่งพัสดุ หน่วยงานรัฐ หรือแม้แต่คนรู้จัก โดยมักแนบลิงก์หรือไฟล์หลอกให้เราคลิกตามคำสั่งด่วน และกว่า 60% ของผู้ใช้ถูกหลอกสำเร็จในปีเดียว ซึ่งมีความเสียหายเฉลี่ยสูงถึง 12,955 บาทต่อคน นำไปสู่ความเสียหายรวมระดับประเทศกว่า 115,300 ล้านบาทต่อปี
ซึ่งที่จริงผู้บริโภคหลายคนได้แจ้งเหตุไปยังผู้ให้บริการทางการเงินอยู่แล้ว แต่ข้อมูลสำรวจระบุว่า มีเพียง 29% เท่านั้นที่ได้เงินคืน ขณะที่ 44% ไม่ได้เงินคืนเลย
แจ้งแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ได้เงินคืน?
ปัญหานี้เกิดจากหลายช่องโหว่ เช่น การบล็อกบัญชีม้าที่ล่าช้า การตรวจสอบแอปฯ ปลอมที่ยังไม่มาตรฐาน การปิดซิมที่ทำได้ยากและความจำเป็นที่ผู้บริโภคต้องฟ้องร้องเองเมื่อเกิดความเสียหาย
สภาผู้บริโภคเห็นว่าจำเป็นต้องมีระบบที่ทำให้ธนาคารและแพลตฟอร์มออนไลน์รับผิดชอบต่อความเสียหายของผู้ใช้ ตั้งแต่ตรวจจับสแกมและป้องกันตั้งแต่ต้นทาง ไม่ควรปล่อยให้ผู้บริโภคต้องเจอปัญหาเอง
แต่ตอนนี้ผู้เสียหายเริ่มมีความหวังที่ชัดขึ้น เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกฎกระทรวงใหม่ที่เปิดช่องทางให้ “ผู้เสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์” ยื่นคำร้องขอคืนเงินหรือคัดค้านบัญชีที่ถูกอายัดผ่านระบบออนไลน์ได้ภายใน 90 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา
โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะเป็นหน่วยงานหลักที่ตรวจสอบบัญชีที่ถูกอายัด รับคำร้องจากผู้เสียหาย และคืนเงินหรือทรัพย์สินให้เมื่อพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์
ตอนนี้มีเงินคงเหลือจากบัญชีที่ถูกอายัดมากกว่า 3,076 ล้านบาท ใน 853,486 บัญชี ซึ่งบางส่วนสามารถคืนให้ผู้เสียหายได้ตามกฎกระทรวงใหม่ ผ่านการยื่นคำร้องออนไลน์
ช่วยให้ผู้เสียหายมีช่องทางใหม่ในการเรียกคืนเงินและทรัพย์สินโดยไม่ต้องดำเนินการเองทั้งหมด เพิ่มความโปร่งใส และทำให้กระบวนการคืนเงินรวดเร็วขึ้น
ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังเอาจริงกับการแก้ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อช่วยลดความเสียหายของประชาชน
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยี ที่จะพัฒนาและยกระดับประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า ได้ที่ Tech Movement
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ต่างประเทศ
ต่างประเทศ
ต่างประเทศ
ต่างประเทศ