
การจราจรในกรุงเทพฯ มักเป็นบททดสอบความอดทน ที่คนเมืองต้องเจออย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยน หรือพัฒนาโครงสร้างจราจรไปบ้าง แต่ปริมาณคนที่ไหลเข้าสู่เมืองนั้นมีเพิ่มขึ้นทุกปี ยิ่งเพิ่มความหนาแน่นให้ท้องถนนมากขึ้นกว่าเดิม
● เมื่อกรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนแปลงสู่ “Smart City” แบบเต็มตัว
ตอนนี้กรุงเทพฯ เริ่มแก้ปัญหาอย่างจริงจัง นำโดยผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่ถนนสุขุมวิท 101/1 เพื่อติดตามการทำงานของระบบ “Adaptive Control” ไฟจราจรอัตโนมัติ แบบไม่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจกดเปลี่ยนสัญญาณ หรือใช้การตั้งเวลาแบบตายตัวอีกต่อไป เป็นระบบที่ใช้กล้องตรวจจับปริมาณรถ แล้วให้คอมพิวเตอร์คำนวณ และปรับสัญญาณไฟจราจรให้ไหลลื่นมากที่สุดตามสถานการณ์จริง
โดยถูกนำร่องติดตั้งแล้วใน 72 แยกทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเน้นไปที่ถนนหลักอย่างสุขุมวิท พระราม 4 เพชรบุรี พหลโยธิน และสีลม หรือเส้นทางที่ผู้คนใช้เดินทางจำนวนมาก ในการทำงาน และเดินทางต่อเชื่อมระหว่างเขตต่าง ๆ ของเมืองหลวง
หลังจากทดลองใช้งานแล้วพบว่า ในช่วง “นอกเวลาเร่งด่วน” ระบบ Adaptive Control ช่วยให้การจราจรคล่องตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 15% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นว่าระบบนี้ช่วยบริหารจัดการงานจราจรได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาเร่งด่วน หรือบริเวณที่มีความซับซ้อนสูง ระบบจะยังทำงานร่วม กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ เพื่อปรับให้เหมาะสมกับสภาพจราจรจริง ซึ่งขณะนี้ทาง กทม. กำลังเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาระบบให้แม่นยำขึ้น และยังมีแผนขยายการใช้งานอีกกว่า 200 แยกในปีหน้า
แม้จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำแค่ไหน แต่ “การมีวินัย” ในการขับขี่ก็ยังเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญร่วมกัน เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องเริ่มจาก “พฤติกรรมของเรา” ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ผลลัพธ์ถึงจะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Adaptive Control สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาเมืองที่ส่งสัญญาณว่า กรุงเทพฯ กำลังเดินหน้าสู่ Smart City อย่างแท้จริง เพื่อให้คนเมืองไม่ต้อง “ติดไฟแดงแบบไร้เหตุผล” อีกต่อไป
● เมื่อกรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนแปลงสู่ “Smart City” แบบเต็มตัว
ตอนนี้กรุงเทพฯ เริ่มแก้ปัญหาอย่างจริงจัง นำโดยผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่ถนนสุขุมวิท 101/1 เพื่อติดตามการทำงานของระบบ “Adaptive Control” ไฟจราจรอัตโนมัติ แบบไม่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจกดเปลี่ยนสัญญาณ หรือใช้การตั้งเวลาแบบตายตัวอีกต่อไป เป็นระบบที่ใช้กล้องตรวจจับปริมาณรถ แล้วให้คอมพิวเตอร์คำนวณ และปรับสัญญาณไฟจราจรให้ไหลลื่นมากที่สุดตามสถานการณ์จริง
โดยถูกนำร่องติดตั้งแล้วใน 72 แยกทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเน้นไปที่ถนนหลักอย่างสุขุมวิท พระราม 4 เพชรบุรี พหลโยธิน และสีลม หรือเส้นทางที่ผู้คนใช้เดินทางจำนวนมาก ในการทำงาน และเดินทางต่อเชื่อมระหว่างเขตต่าง ๆ ของเมืองหลวง
หลังจากทดลองใช้งานแล้วพบว่า ในช่วง “นอกเวลาเร่งด่วน” ระบบ Adaptive Control ช่วยให้การจราจรคล่องตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 15% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นว่าระบบนี้ช่วยบริหารจัดการงานจราจรได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาเร่งด่วน หรือบริเวณที่มีความซับซ้อนสูง ระบบจะยังทำงานร่วม กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ เพื่อปรับให้เหมาะสมกับสภาพจราจรจริง ซึ่งขณะนี้ทาง กทม. กำลังเก็บข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาระบบให้แม่นยำขึ้น และยังมีแผนขยายการใช้งานอีกกว่า 200 แยกในปีหน้า
แม้จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำแค่ไหน แต่ “การมีวินัย” ในการขับขี่ก็ยังเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญร่วมกัน เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องเริ่มจาก “พฤติกรรมของเรา” ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ผลลัพธ์ถึงจะออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Adaptive Control สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาเมืองที่ส่งสัญญาณว่า กรุงเทพฯ กำลังเดินหน้าสู่ Smart City อย่างแท้จริง เพื่อให้คนเมืองไม่ต้อง “ติดไฟแดงแบบไร้เหตุผล” อีกต่อไป
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
AdaptiveControlกรุงเทพมหานครการจราจรการเดินทางปัญหารถติดTechnologyLocaltechTechMovementMoveForBetterTHDigitalMovewithTechMovement
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สังคม
“Trump Mobile” โทรศัพท์รักชาติ เพื่อคนอเมริกัน?


สังคม
“ช่องแคบฮอร์มุซ” เส้นทางลำเลียงน้ำมันที่สำคัญของโลก ?


สังคม
”CapCut" หัวใส คนใช้หัวเสีย หลังปรับเงื่อนไข นำวิดีโอไปใช้ได้ฟรีทุกกรณี!


สังคม
”Soft Skills" ทักษะที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้?
