
เมื่อความผิดถูกโยนมาให้เราต้องแบกรับความรู้สึกหนักอึ้งในใจอย่างเช่น
“ทำไมไม่เชื่อใจกันบ้าง?”
“ถ้าทำแบบนี้แล้วเธอจะมีความสุขใช่ไหม?”
“ฉันทำเพื่อเธอมามากแล้วนะ ทำให้กันแค่นี้ไม่ได้เหรอ?”
เหตุการณ์เหล่านี้เชื่อว่าหลายคนเคยเจอ จนสร้างความ Toxic ในจิตใจ และทางเดียวที่จะจบได้ อาจต้องแยกย้ายกันใช้ชีวิต แต่บางความสัมพันธ์ก็ยากที่จะตัดอย่างความเป็นครอบครัว ทำให้บางคนติดอยู่ในวังวนความทุกข์ไม่จบสิ้น วันนี้ เทค มูฟเมนท์ มาชวนทุกคนรู้จัก “Guilt trip” ที่เราอาจเจออยู่แต่ไม่เคยรู้ตัว เพื่อช่วยคลายปมในใจ และหาทางออกให้กับตัวเอง
วิถี “Guilt trip” บีบให้อีกคนรู้สึกผิด เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม
ถ้าคุณถูกทำให้รู้สึกผิด จากคำพูดของฝ่ายตรงข้าม แม้ว่าความจริงแล้วเราก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แปลว่าคุณกำลังถูกอีกคนพยายามควบคุม โดยใช้ความรู้สึกผิดเหล่านี้เป็นเครื่องมือ ซึ่งไม่ต่างจากการถูกแบล็กเมลทางอารมณ์
และนี่คือส่วนหนึ่งของการชักจูงทางจิตวิทยาหรือ Emotional Manipulation ที่อาจใช้เพื่อครอบงำทางความคิด และพฤติกรรมของบุคคลอื่นเพื่อผลประโยชน์บางอย่างของอีกฝ่าย
ซึ่ง Guilt Trip เป็นหนึ่งในวิธีการที่นิยม และมักถูกใช้ในควบคู่กับการ Gaslighting เพื่อทำให้อีกฝ่ายสงสัยในการกระทำของตัวเองและรู้สึกว่าการกระทำนั้นทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด จนหลายครั้งต้องยอมลดความสำคัญความรู้สึกของตัวเอง เพื่อใส่ใจและทุ่มเทให้กับอีกฝ่ายเพราะคิดว่าเขาเจ็บมากกว่า
เชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับทุกความสัมพันธ์ ยิ่งถ้าเป็นคนที่เราผูกพันมาก หรือรักและเคารพมาก เรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง จนสุขภาพจิตของเราอาจติดลบได้ในระยะยาว
จะหลุดพ้นได้ไหม ถ้าเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะถอนตัว?
ถ้าเราอยู่ในความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ได้ หรือตัดไม่ขาด สิ่งที่ต้องทำคือการมีระยะห่างกับคนเหล่านั้น อย่างการลดกิจกรรมที่ทำร่วมกัน หรือเจอกันให้น้อยลง โดยยังสามารถติดต่อกันได้ในยามฉุกเฉิน เหมือนเว้นช่องว่างเพื่อให้เรา และอีกฝ่ายมีพื้นที่ของตัวเอง
รวมถึงการมีขอบเขตที่ชัดเจน ว่าเราต้องการอะไร และไม่ชอบอะไร ให้อีกฝ่ายรับรู้ เพื่อให้มีเส้นแบ่งของความสบายใจหากยังจำเป็นต้องอยู่ร่วมกันต่อ เพราะทุกคนต่างเป็นตัวของตัวเอง มีความรู้สึกของตัวเอง อย่าลดความสำคัญความรู้สึกของเรา และอย่าไปก้าวล้ำความรู้สึกของใคร และการเคารพในความรู้สึกซึ่งกันและกัน คือพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดี
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง


