
Quick Big Win ประโยคคุ้นหูที่ใครหลายคนเห็น และได้ยินผ่านสื่อกันบ่อยช่วงนี้ นี่คือคอนเซ็ปต์ของรัฐบาลที่ใช้ดำเนินโครงการ โดยแนวคิดนโยบายคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เร่งขับเคลื่อนประเทศในช่วง 4 เดือน ในคอนเซ็ปต์“กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” จากการใช้ 5 เสาหลักในการทำงาน อาทิ
1. กระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยใช้โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ช่วยค่าครองชีพของประชาชน แบบไม่มีการกู้เพิ่ม ไม่ได้ใช้เงินใหม่ แต่ใช้กรอบงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลที่แล้ว จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท บวกกับงบกลางฯ 19,000 ล้านบาท ยืนยันว่าไม่เสียวินัยการเงินการคลัง ส่วนด้านกระตุ้นการท่องเที่ยว จะเน้นไปที่การท่องเที่ยวเมืองรอง โดยให้ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการพัฒนาปรับปรุงตกแต่งโรงแรมในเมืองรองให้น่าอยู่ขึ้น
2. ลดภาระหนี้ประชาชน โดยนำเงิน 26,000 ล้านบาทจากกองทุนฟื้นฟูและสถาบันการเงินที่เหลือจากโครงการคุณสู้เราช่วย ไปตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกับธนาคารในการซื้อหนี้ประชาชนที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ออกมา แล้วนำมาปรับโครงสร้างหนี้ มีการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย เพื่อให้สภาพคล่องดีขึ้น พร้อมเสริมเรื่องสินเชื่อเพื่อคนตัวเล็ก ที่ปล่อยสินเชื่อตามความเสี่ยง ให้ประชาชนสามารถกู้เงินในระบบได้มากขึ้น
3. เพิ่มสภาพคล่องให้ SME โดย อย่างแรกให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อของ SME เสริมด้วยโครงการพี่ช่วยน้อง เพิ่มการหักลดหย่อนภาษีสำหรับบริษัทใหญ่ที่ช่วยเหลือบริษัทเล็กในโครงการ พร้อมดันให้ธนาคารสนับสนุน SME ผ่านโครงการสินเชื่อสนับสนุนสภาพคล่อง และใช้เครื่องมือการคลังโดยการคืนภาษี 160,000 ล้านให้แก่ SME ร่วมด้วย
4. เพิ่มการออมภาคประชาชน โดยออกสลากเพื่อการออม และพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการออม ซึ่งเป็นคนละส่วนกับ ‘หวยเกษียณ’
5. การลงทุนเพื่ออนาคต โดยการพัฒนาทักษะใหม่ (reskill) เพิ่มทักษะ (upskill) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จับมือกับภาคเอกชนที่ได้การส่งเสริมการลงทุน และร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เพื่อผลิตแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดยุคใหม่ พร้อมผลักดันโครงการ Fast Pass ของ BOI ปลดล็อกกฎระเบียบกติกา เพื่อให้เกิดการลงทุนใหม่ ให้เงินเข้าสู่เศรษฐกิจได้สะดวกขึ้น
โดยโครงการทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้เป้าหมายเดียวกันตามกรอบรากฐานวินัยการคลัง คือ ไม่กู้เพิ่ม ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจจนเสียวินัยการคลัง สร้างผลระยะยาวมากกว่าแจกเงินธรรมดา
ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าการขับเคลื่อนภายใต้กรอบที่ว่านี้จะสำเร็จจริง หากดูจากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (ข้อมูล กระทรวงการคลัง โดย KResearch ณ วันที่ 26 ก.ย. 68) ที่ได้วิเคราะห์ไว้ว่าแม้จะเป็นระยะเวลาที่สั้น แต่รัฐบาลยังมีอีกเครื่องมือในการประคองเศรษฐกิจ โดยการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุน โดยเป็นการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ปี 68 (เดือนมิ.ย. - ก.ย.) ทำให้ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง
ส่งผลให้ ณ วันที่ 26 ก.ย. 68 การเบิกจ่ายงบลงทุนจะอยู่ที่ 60% ซึ่งต่ำกว่าปีงบประมาณ ปี 67 โดยอยู่ที่ 65% ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ปี 69 มีแนวโน้มจะต่ำกว่าปีก่อน จากปัจจัยฐานสูงจากความต่อเนื่องของการเร่งรัดการเบิกจ่ายหลังงบประมาณปี 67 ที่อนุมัติล่าช้า
แม้ระยะเวลาที่ทำโครงการจะดูเป็นช่วงสั้น ๆ แต่เชื่อว่าหากเริ่มทำแล้วก็นับเป็นสัญญาณดี ช่วยให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นขึ้นมาได้เร็วขึ้น ที่ทำให้ประชาชนมีสภาพคล่อง และเลี้ยงชีพจากธุรกิจของตัวเองได้ดีกว่าเดิม
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทย
ต่างประเทศ
ไทย
ไทย