G-Token อนาคตใหม่ของพันธบัตร หรือระเบิดเวลาคลังประเทศ ?

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หลายคนอาจได้ยินชื่อ “G-Token” ในสื่อหลายช่องทางแล้ว โดยเป็นโครงการที่ภาครัฐสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือใหม่ในการหาเงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 68 ซึ่งมีเป้าหมายให้กระทรวงการคลังออก โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล หรือที่เรียกว่า G-Token (Government Token) วงเงินเริ่มต้น 5,000 ล้านบาท

ซึ่งมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล ปี 68 อย่างเป็นทางการแล้ว

● G-Token โอกาสใหม่ หรือความเสี่ยง ?

เชื่อว่าตอนนี้มีหลายคนแสดงความกังวลว่า การออก G-Token จะเป็น “การสร้างหนี้เพิ่ม” โดยใช่เหตุหรือไม่ ซึ่ง
รมช.คลัง ก็ได้บอกว่า การเสนอขายโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล เป็นคนละประเด็นกับการกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่ได้เป็นการสร้างหนี้ใหม่ให้กับประเทศ แต่เป็นเครื่องมือบริหารจัดการ การกู้เงินของกระทรวงการคลังให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยมีต้นทุนและมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ช่วยให้การบริหารหนี้สาธารณะของประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยอีกมุมหนึ่งทาง ผู้อำนวยการโครงการปริญญาโททางการเงิน และอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้บอกไว้ว่า หากยึดตามรายละเอียดที่ระบุไว้ ในพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 การที่รัฐบาลออก จี-โทเคน ลักษณะนี้ ถือว่าเป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) เพราะเป็นโทเคนดิจิทัลที่ให้สิทธิในการร่วมลงทุนในโครงการ และได้รับผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ

ซึ่งจะดำเนินการอย่างถูกต้องต่อเมื่อได้รับอนุญาตจาก “สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)” และต้องนำเสนอผ่านผู้ให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเสนอขายโทเคนดิจิทัลออกใหม่ (ICO Portal) ก่อน แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดเหล่านี้จากรัฐ แต่กลับมีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ออกไปมากมายว่า “เป็นเหรียญที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต.” มองว่ารัฐบาลต้องให้ข้อมูลส่วนนี้เพิ่มเติม

แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง โครงการนี้อาจผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ เพียงแต่รายละเอียด การใช้บล็อกเชนตัวไหน และจะนำไปซื้อขายในตลาดยังไงนั้น ควรรอความชัดเจนจากภาครัฐอีกครั้ง ซึ่งต้องรอติดตามต่อไปว่าจะมีการอัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่

เพราะสุดท้ายแล้วหากเงินที่ได้จากการระดมทุนนี้ ถูกนำไปบริหารจัดการเพื่อพัฒนาประเทศได้จริงระยะยาว มากกว่าหวังผลแค่ช่วงสั้น ก็คุ้มค่าแก่การลงทุน เพียงแค่ต้องมีแบบแผนในการจัดการอย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบที่อาจกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ของการคลังประเทศในอนาคต