
ช่วงนี้กระแสคอนเทนต์แกล้งคนในไทยกำลังเกิดข้อถกเถียง หลังมีอินฟลูฯ ทำคลิปแกล้งคนจนเกิดดราม่า ที่หลายคนต่างตั้งคำถามว่า “ถ้าเหยื่อมีโรคประจำตัว” หรือ “ถ้าโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้จนบันดาลโทสะล่ะ แม้จะรู้ว่ามีการเตรียมการกันมาก่อนอยู่แล้ว แต่หากมีคนไปทำตาม อาจเกิดผลลัพธ์ร้ายแรงกว่าที่คิด
ซึ่งจริงๆแล้ว คอนเทนต์แกล้งคน ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในบ้านเรา ต่างประเทศก็มีให้เห็นบ่อยๆ ที่เผลอๆ อาจแรงกว่าบ้านเราด้วยซ้ำ
อย่างตอนนี้ที่เป็นไวรัลก็ Apple Pay prank ที่คนเอาโทรศัพท์ไปจ่อไอโฟนคนอื่นแล้วเปิดเสียงเหมือนโดนหักเงินจริง ทำให้คนที่โดนแกล้งคนตกใจ บางคนโกรธจนถึงขั้นพยายามแย่งโทรศัพท์กลับมา หรือบางเคสก็ลุกลามจนกลายเป็นเหตุทะเลาะจริงๆ
ทำไมหลายคนถึงให้ความสนใจกับคลิปแกล้งคน?
ถ้าหากสังเกตดีๆ จุดร่วมของคอนเทนต์แนวนี้ คือทำเพื่อให้เหยื่อตกใจ แล้วเอาปฏิกิริยาของเหยื่อ มาแลกเป็นยอดวิวของคนทำ
เพราะลึกๆแล้ว มนุษย์มีความรู้สึกที่ซับซ้อน เราอาจหัวเราะหรือสนุกกับการเห็นใครสักคนตกใจหรือประหลาดใจ ซึ่งเรียกภาวะนี้ว่า Schadenfreude รวมถึงการแสดงกิริยาของเหยื่อแต่ละคนที่ต่างกัน ก็อาจทำให้คอนเทนต์แนวนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
แต่การแกล้งที่เกินขอบเขต ก็อาจนำไปสู่หายนะได้ อย่างในสหรัฐฯ กลุ่มเด็กวัย 20 ทำคอนเทนต์แกล้งปล้น จนคนที่ถูกแกล้งนึกว่าจริง เลยใช้อาวุธสู้กลับ จนเกิดเหตุสลดขึ้น
สะท้อนว่า ความเสี่ยงจากคอนเทนต์แกล้งคนไม่ได้หยุดอยู่แค่ความโกรธหรือตกใจเท่านั้น แต่อาจนำพาไปสู่จุดที่ไม่คาดคิดได้
โดยในสื่อเก่าอย่างโทรทัศน์ ละคร หรือหนัง มักมีกฎหมายคอยควบคุม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชมสับสนหรือได้รับผลเสียหากมีเนื้อหาปลุกปั่นหรือทำให้คนเข้าใจผิด แต่บนโลกออนไลน์ ควบคุมได้ยากกว่า ทำให้คนเข้าถึงคอนเทนต์เหล่านี้ได้ง่ายและทำตาม โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือสิทธิส่วนบุคคล
ซึ่งในไทยเอง หากคิดจะทำคอนเทนต์แนวนี้ก็ควรพิจารณาให้ดี เพราะการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลหรือแกล้งคนโดยไม่ได้รับความยินยอมอาจเข้าข่าย ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลตาม กฎหมาย PDPA ได้ด้วย
การทำคอนเทนต์จึงควรคิดให้รอบด้าน ตั้งแต่ความปลอดภัย สิทธิส่วนบุคคล ไปจนถึงผลกระทบต่อผู้ชมและสังคมรอบตัว เพื่อให้เกิดการสร้างคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์มากขึ้น
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง


