
ความขัดแย้งไทย - กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในขณะนี้ เมื่อ 24 ก.ค.68 กัมพูชาเปิดฉากโจมตีเข้ามาตรงข้ามฐานปฏิบัติการของไทย และยิงจรวด BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชุมชน จนมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ และมีการสูญเสียเกิดขึ้นอย่างน่าเศร้า กลายเป็นจุดไฟความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ลุกโชนมากกว่าเดิม ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า “อะไรที่ทำให้กัมพูชายอมเสี่ยงใช้ไพ่ใบนี้ ?”
หรือนี่คือการสร้าง “ฮีโร่ในสายตาประชาชน และเป็นเหยื่อ ในสายตาโลก” ?
บทบาทใหม่ของรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของ ฮุน มาแนต ลูกชายของฮุน เซน ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้จะเปลี่ยนตัวผู้นำ แต่ก็มีเสียงสะท้อนจากประชาชนว่า การมาของรัฐบาลใหม่นี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เหมือนเป็นแค่เงาของรัฐบาลชุดเก่า จึงไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนมากนัก
และด้านเศรษฐกิจกัมพูชายังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจแบบ “หลายเด้ง” ทั้งจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยวที่ซบเซาหนัก รวมถึงผลกระทบการค้าขายในพื้นที่บริเวณที่มีการปิดด่านและแรงกดดันภายนอกจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังไม่รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ที่รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังต่ำ และเป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่อง
และเมื่อรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นด้วยผลงานได้ การจุดประเด็นชาตินิยมหรือความขัดแย้งภายนอก อาจเป็นกลยุทธ์เบี่ยงประเด็นปัญหาในประเทศ เพื่อรวบรวมแรงสนับสนุนจากประชาชนมาอยู่ฝั่งรัฐบาลแทน
ขณะเดียวกัน กัมพูชาก็พยายามผลักตัวเองให้กลายเป็น “ผู้ถูกกระทำ” ในสายตานานาชาติ โดยหวังให้โลกมองว่าการตอบโต้ของไทยเป็นการรุกรานเกินเหตุ กลยุทธ์การสื่อสารแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิดที่เรียกว่า “victim diplomacy” หรือการต่อรองทางการเมืองโดยอาศัยภาพลักษณ์ของเหยื่อ แต่ทั้งหมดนี้คงไม่ได้ทำเพื่อสันติภาพ แต่คงทำเพื่อความอยู่รอดของรัฐบาลเพื่อให้รักษาอำนาจต่อไปได้เท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกัมพูชาทำกับไทยในขณะนี้ นับเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมที่มีเจตนาชัดเจน จากการเปิดฉากรบโดยใช้อาวุธหนักโจมตี โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียต่อพลเรือนทั้งสองประเทศ
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว