
สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนดูเหมือนว่าทุกครั้งที่สหรัฐฯ ขยับตัวออกนโยบายภาษี ประเทศต่างๆ ทั่วโลกก็มักจะต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมตามข้อเสนอของสหรัฐฯ เสมอ จนดูเหมือนสหรัฐฯ เองกำลังถือไพ่เหนือกว่า และบีบให้หลายประเทศต้องเดินตามเกมโดยจำนน
แน่นอนว่าการออกนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายแค่เพียงจัดการประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เป้าหมายหลักอาจอยู่ที่ "จีน" ที่ตอนนี้เดินเกมภาษีแบบมุ่งเป้าให้จีนจนมุมแบบชัดเจน ผ่านการตั้งเงื่อนไขและแรงกดดันให้ประเทศอื่นๆ หลีกเลี่ยงการค้ากับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างง่ายๆ จากดีลภาษีล่าสุดของเวียดนามที่ดูเหมือนจะเป็นข้อตกลงที่ “ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์” โดยสหรัฐฯ ได้สิทธิส่งสินค้าเข้าเวียดนามแบบไม่เสียภาษี ขณะที่เวียดนามเองส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ จะเสียภาษีเพียง 20% จากเดิมที่อาจสูงถึง 46% แต่เงื่อนไขที่กำหนด คือ หากพบการทรานชิปหรือการแอบแฝงสินค้าจีนผ่านเวียดนามแม้เพียงนิดเดียว จะทำให้สินค้านั้นโดนขึ้นภาษีเป็น 40% ทันที
สิ่งที่น่ากังวลก็คือในดีลนี้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องมีส่วนประกอบจากจีนกี่เปอร์เซ็นต์ จึงจะเข้าข่ายโดนขึ้นภาษีสูงนี้ได้ นี่จึงทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจเต็มที่ในการเลือกตีความสินค้าว่าชิ้นไหนมาจากจีนหรือไม่ จุดนี้อาจทำให้หลายประเทศในเอเชียต้องหนักใจอย่างแน่นอน
เพราะนั่นหมายถึง “ต้องเลือกระหว่างตลาดจีนที่เป็นแหล่งซัพพลายเชนสำคัญ หรือสหรัฐฯ ที่มีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่” แม้แต่ไทยเองยังต้องเร่งเจรจาอย่างหนักเพื่อหลบเลี่ยงภาษีของสหรัฐฯ ที่โดนตั้งไว้สูงถึง 36%
ดูเหมือนเกมนี้สหรัฐจะชนะ แต่ที่จริงจีนอาจกำลังสู้แบบ “คลื่นใต้น้ำ” ที่ตอบโต้ด้วยกลยุทธ์บางอย่างแบบเงียบๆ เพื่องัดสหรัฐฯในจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัวหรือไม่ ?
อย่างเช่น การใช้กลยุทธ์ “China plus one” ที่กระจายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย หรือแม้แต่ไทยเอง โดยการสลับชิ้นส่วนสำคัญจากจีนเป็นชิ้นส่วนจากอินเดีย ไต้หวัน หรือยุโรปตะวันออกแทน เพื่อเลี่ยงข้อกล่าวหาว่าสินค้ามีต้นทางมาจากจีน
นอกจากนี้ ยังมีแผนการส่งชิ้นส่วนไปประกอบขั้นสุดท้ายในประเทศที่มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อย่างเม็กซิโก หรือการแยกส่งชิ้นส่วนแยกกันคนละรอบแล้วค่อยนำมาประกอบกันหลังนำเข้า ซึ่งวิธีเหล่านี้ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ และบังคับใช้กฎภาษีของสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน
จนถึงตอนนี้ทุกคนคงเห็นตรงกันว่า นี่คือ "เกมยาว" ที่ไม่สามารถจบลงได้ง่ายๆ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับผลกระทบ และลดอำนาจลงไป
งานนี้ทำเอาหลายประเทศปาดเหงื่อ งัดทุกวิธีที่จะสู้ได้กันเลยทีเดียว จากนี้ใครที่จะต่อรองได้คงต้องมีทีมวิเคราะห์และวางแผนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อ่านเกมขาด ของประเทศไว้แล้ว เพราะหากพลาดเพียงแค่ 1% อาจหมายถึงผลกระทบเศรษฐกิจประเทศในระดับที่ล้มตั้งแต่ตัวเล็กยันตัวใหญ่ได้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าการออกนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายแค่เพียงจัดการประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เป้าหมายหลักอาจอยู่ที่ "จีน" ที่ตอนนี้เดินเกมภาษีแบบมุ่งเป้าให้จีนจนมุมแบบชัดเจน ผ่านการตั้งเงื่อนไขและแรงกดดันให้ประเทศอื่นๆ หลีกเลี่ยงการค้ากับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างง่ายๆ จากดีลภาษีล่าสุดของเวียดนามที่ดูเหมือนจะเป็นข้อตกลงที่ “ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์” โดยสหรัฐฯ ได้สิทธิส่งสินค้าเข้าเวียดนามแบบไม่เสียภาษี ขณะที่เวียดนามเองส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ จะเสียภาษีเพียง 20% จากเดิมที่อาจสูงถึง 46% แต่เงื่อนไขที่กำหนด คือ หากพบการทรานชิปหรือการแอบแฝงสินค้าจีนผ่านเวียดนามแม้เพียงนิดเดียว จะทำให้สินค้านั้นโดนขึ้นภาษีเป็น 40% ทันที
สิ่งที่น่ากังวลก็คือในดีลนี้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องมีส่วนประกอบจากจีนกี่เปอร์เซ็นต์ จึงจะเข้าข่ายโดนขึ้นภาษีสูงนี้ได้ นี่จึงทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจเต็มที่ในการเลือกตีความสินค้าว่าชิ้นไหนมาจากจีนหรือไม่ จุดนี้อาจทำให้หลายประเทศในเอเชียต้องหนักใจอย่างแน่นอน
เพราะนั่นหมายถึง “ต้องเลือกระหว่างตลาดจีนที่เป็นแหล่งซัพพลายเชนสำคัญ หรือสหรัฐฯ ที่มีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่” แม้แต่ไทยเองยังต้องเร่งเจรจาอย่างหนักเพื่อหลบเลี่ยงภาษีของสหรัฐฯ ที่โดนตั้งไว้สูงถึง 36%
ดูเหมือนเกมนี้สหรัฐจะชนะ แต่ที่จริงจีนอาจกำลังสู้แบบ “คลื่นใต้น้ำ” ที่ตอบโต้ด้วยกลยุทธ์บางอย่างแบบเงียบๆ เพื่องัดสหรัฐฯในจังหวะที่ไม่ทันตั้งตัวหรือไม่ ?
อย่างเช่น การใช้กลยุทธ์ “China plus one” ที่กระจายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย หรือแม้แต่ไทยเอง โดยการสลับชิ้นส่วนสำคัญจากจีนเป็นชิ้นส่วนจากอินเดีย ไต้หวัน หรือยุโรปตะวันออกแทน เพื่อเลี่ยงข้อกล่าวหาว่าสินค้ามีต้นทางมาจากจีน
นอกจากนี้ ยังมีแผนการส่งชิ้นส่วนไปประกอบขั้นสุดท้ายในประเทศที่มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อย่างเม็กซิโก หรือการแยกส่งชิ้นส่วนแยกกันคนละรอบแล้วค่อยนำมาประกอบกันหลังนำเข้า ซึ่งวิธีเหล่านี้ทำให้ยากต่อการตรวจสอบ และบังคับใช้กฎภาษีของสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน
จนถึงตอนนี้ทุกคนคงเห็นตรงกันว่า นี่คือ "เกมยาว" ที่ไม่สามารถจบลงได้ง่ายๆ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับผลกระทบ และลดอำนาจลงไป
งานนี้ทำเอาหลายประเทศปาดเหงื่อ งัดทุกวิธีที่จะสู้ได้กันเลยทีเดียว จากนี้ใครที่จะต่อรองได้คงต้องมีทีมวิเคราะห์และวางแผนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อ่านเกมขาด ของประเทศไว้แล้ว เพราะหากพลาดเพียงแค่ 1% อาจหมายถึงผลกระทบเศรษฐกิจประเทศในระดับที่ล้มตั้งแต่ตัวเล็กยันตัวใหญ่ได้อย่างแน่นอน
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว
สงครามการค้าภาษีสหรัฐเศรษฐกิจโลกLocaltechTechMovementMoveForBetterTH