
ช่วงนี้ไทยกำลังเจอพายุอย่างต่อเนื่อง ทั้งคาจิกิ ที่พึ่งผ่านไป และ “หนองฟ้า” ที่จ่อคิวมาแบบติดๆ หลายพื้นที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากอิทธิพลของพายุ บ้านเรือนพังเสียหาย น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ถนนหลายสายถูกตัดขาด ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก
จะดีแค่ไหน ถ้าเรารู้ล่วงหน้าได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น ?
ยกตัวอย่างญี่ปุ่น หนึ่งในประเทศที่เผชิญภัยพิบัติแบบสุดโต่ง และเป็นที่รู้จักในเรื่องการวางแผนรับมือภัยพิบัติอย่างละเอียดเเละรอบคอบ ที่ไม่ได้หยุดแค่การพยากรณ์อากาศ แต่ยังพัฒนา การจำลองสถานการณ์ภัยพิบัติแบบครบวงจรอีกด้วย
ล่าสุด มีการจำลองภูเขาไฟฟูจิปะทุด้วย AI ซึ่งไม่ได้คาดการณ์แค่ว่าลาวาจะไหลไปทางไหน หรือควันจะหนาเท่าไหร่ แต่ยังคาดการณ์ไปถึงรถไฟฟ้าจะหยุดวิ่งกี่สาย ไฟฟ้าจะดับกี่เขต ห้างและซูเปอร์มาร์เก็ตจะปิดกี่แห่ง ประชาชนจะขาดน้ำดื่มและอาหารภายในกี่วัน ทำให้คนญี่ปุ่นรู้ว่าต้องเตรียมตัวยังไงบ้างถึงจะอยู่รอด หากเผชิญสถานการณ์นี้
ซึ่งถ้านำแนวคิดนี้มาปรับใช้กับไทย ในวันที่ภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้นทุกวัน การเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆสำคัญมาก เพราะเราไม่รู้ว่าภัยจะมาเมื่อไหร่
อย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา หลายคนยังรับมือไม่ถูกเพราะขาดประสบการณ์ ซึ่งการจำลองภัยธรรมชาติรูปแบบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไทย จะช่วยให้เรารู้วิธีรับมือกับแต่ละสถานการณ์ได้ชัดเจนมากขึ้น
ซึ่งญี่ปุ่นทำได้ เพราะมีฐานข้อมูลที่ละเอียดและครบถ้วน โดยเฉพาะข้อมูลผลกระทบย้อนหลังจากภัยธรรมชาติที่เกิดบ่อยครั้ง ที่สามารถนำมาคาดการณ์ได้ โดยไทยก็อาจทำได้เช่นกัน แม้จะไม่มีข้อมูลที่แน่นเท่าญี่ปุ่น เพราะภัยพิบัติที่เราเจอ ความรุนแรงอาจไม่เท่าญี่ปุ่น
แต่เรามีเครื่องมือที่ตรวจสอบอย่าง Gistda ที่เก็บข้อมูลภูมิศาสตร์และภูมิประเทศทั้งประเทศ เช่น แผนที่ความสูง พื้นที่ลุ่มต่ำ-สูง ลำน้ำ แม่น้ำ ถนน และสิ่งก่อสร้างสำคัญ รวมถึงข้อมูลดาวเทียมที่อัปเดตเป็นระยะ ซึ่งสามารถนำมารวมกับข้อมูลสภาพอากาศจาก กรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการสร้างแบบจำลองภัยพิบัติในบริบทของไทยได้แบบล่วงหน้า
ทำให้ง่ายต่อการวางแผนอพยพ และการเข้าช่วยเหลือที่แม่นยำและตรงจุด ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ในระยะยาว
แท็กที่เกี่ยวข้องข่าว